Sunday, December 05, 2004

วันที่ 84 พรุ่งนี้บวช

มาอยู่ที่วัดโกนหัวเรียบร้อย แปลกมีแต่ฝ่ายหญิงมา มีย่า ยาย แล้วก็แม่ เอาโน็ตบุ๊คมานั่งในกุฏิด้วยเพราะต้องมานั่งทำงานที่ค้างไว้ให้เขา กรรมมันตามมาถึงวัด ถ้าไม่ทำก็จะเป็นสิ่งที่คาใจเดี๋ยวบวชไม่สงบ ที่ผ่านมาเห็นการพัฒนาของจิตพอสมควร คิดว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว

เมื่อสักครู่นั่งคุยกับย่ามา พยายามอธิบายการดูจิตใจของตน ดูรูปนามของตน แต่ท่านไม่เข้าใจเอาเสียเลย เพราะความเข้าใจของท่านคือเน้นการนั่งให้สงบ ท่านเข้าในว่าต้องนั่งให้จิตมันลง พอลงมันจะหลุดพ้นได้เอง ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง แต่อธิบายท่านไม่ได้เพราะใจท่านนั้นไม่เปิด มีแต่ปิดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลัง การสอนคนนี้ยอมรับว่ายากจริง ๆ แต่ไม่มีความทุกข์นะ เราไม่ทุกข์นะสอนเขาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เราก็ดูกายใจของเราไปเรื่อย ๆ

พรุ่งนี้ก็จะได้บวชแล้ว ของก็พร้อมแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร ขอให้กุศลผลบุญทั้งหลายจงบังเกิดแก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อน และทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่ไม่เกี่ยวของ จงรับไปอย่างเท่าเทียมกันเทอญ

Thursday, November 18, 2004

วันที่ 67 จิตดีขึ้นด้วยเหตุปัจจัย

วันนี้ได้คุยกับพี่ปิ่น ซึ่งได้คุยถึงอาจารย์ปราโมทย์ ทราบข่าวมาว่าตอนนี้มีญาติโยมไปหาท่านเยอะแยะมาก เสาร์อาทิตย์เป็นร้อยแล้วมีหวังอนาคต คงไม่มีโอกาสได้พบเจอท่านอย่าง ง่าย ๆ แน่นอน แต่พอคุยกับพี่ปิ่นแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก ยิ่งได้คุยถึงอาจารย์ปราโมทย์แล้วทำให้จิตหันกลับมามีสติต่อจากเดิมดีขึ้น หลังจากหลงออกนอกทางไปพอสมควร ช่วงที่นังรถกลับบ้านมามีสติเกือบตลอดทางเลยถือว่าดีมาก พี่ปิ่นเป็นคนที่เราต้องขอบคุณมาก ๆ ไว้ ณ ที่นี้อีกคนหนึ่ง

จะเห็นว่ามีเพื่อนทางธรรม ที่ดีนั้นสำคัญมาก

Sunday, November 14, 2004

วันที่ 63 ชีวิตคนเราถูกกำหนดด้วยกรรม

นั่งทำงานไปเหนื่อยก็เหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย และใจ แทบไม่มีกำลัง แต่ ก็ต้องนั่งทนทำ เข้าใจจริง ๆ ว่ากรรมมันบังคับเรา กรรมคือสิ่งในอดีตที่เราทำมา มันบังคับให้เราทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ ขนาดเกิดมาชาตินี้ได้ศึกษาพุทธศาสนา และเข้าใจเป็นอย่างดี ยังทุกข์ขนาดนี้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าคนที่เขาไม่ได้ศึกษาและไม่เข้าใจเรื่องราวของจิตจะเป็นอย่างไร ยังไงก็ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายเถิด ไม่ไหวแล้ว เกิดมาชาติหน้าเผื่อไม่ได้ศึกษาและไม่ได้เข้าใจเหมือนในชาตินี้มีหวังอยู่ไปอีกหลายแสนชาติแน่นอน เผลอ ๆ อาจจะไม่ได้เกิดเป็นคนเสียด้วยซ้ำ ถ้าเผื่อไปตกนรกอยู่ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงเสียด้วยซิ

Saturday, November 13, 2004

วันที่ 62 โดนกิเลสเล่นงานอย่างหนัก

โดนกิเลสหลายตัวเล่นงานพร้อมกัน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ผลกรรมไม่ไปไหนจริง ๆ บางครั้งมันเพียงแต่ชะลอผลเท่านั้น จิตใจตอนนี้ออกไปในแนวท้อแท้ อยากหนีไปจากโลกนี้ ซึ่ง ก็ยังเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่งนั่นเอง อาการอยากหนีอาการไม่สู้กับความจริง ไม่ใช่วิสัยของปราชญ์ รู้และเข้าใจดี แต่ตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ฝึกจิตใจมาพอสมควรแต่ตอนนี้นั่งอยู่อยากจะร้องให้จริง ๆ เลย อาการหนักอึ้งไปหมด ทั้งร้อนรน ทั้งเศร้าหมอง ทั้งสับสน จิตใจเป็นอืด ๆ ไม่คล่องแคล่วว่องไว เหมือนคนเดินทางไกลกำลังปีนภูเขาแล้วหมดแรง ตอนนี้ไม่มีกำลังก้าวไปไหนแล้วจริง ๆ ช่วงนี้คงต้องเลิกสอนคนอื่นไปก่อนเพราะตัวเองไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว คงต้องเลิกกันที เพราะพอสอนคนอื่นเหมือนกับพยายามไปลากเข็นคนอื่น หนักทั้งตัวเอง หนักทั้งคนถูกลาก

เพิ่มเติมภายหลัง: จิตใจมันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เดี๋ยวมันก็ขึ้น เดี๋ยวมันก็ลง แล้วแต่มันจะเป็นไป ณ วันที่มาบันทึกเพิ่มเติมนี้ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เหลือแล้ว มันหายไปไหน เป็นความสดใสเหมือนเดิมแล้ว แท้ที่จริงแล้วมันเกิดแล้วมันก็ดับ ขนาดจิตใจของเราที่ได้ฝึกมาพอสมควรยังโดนเล่นงานได้ขนาดนี้ คนที่ไม่มีธรรมะอยู่ประจำใจ ไม่ได้ฝึกเจริญสติ คงหนักหนาเอาการ แล้วก็โดนซ้ำซากไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักจำ เพราะไม่เคยดู แต่สำหรับเราคนที่มีสติ ตามรู้ จิตใจอยู่เนือง ๆ จึงทำให้พอจะเข้าใจธรรมชาติของมัน แล้วพอมันเห็นบ่อย ๆ มันก็เข็ดไม่ค่อยปล่อยให้ตัวเอง ถลำลงไปเกลือกกลั้วกับอารมณ์สกปรก อย่างเช่น ราคะ โทษะ โมหะ ความเศร้าหมอง หดหู่เป็นต้น

Tuesday, November 02, 2004

วันที่ 51 ไม่ก้าวหน้า

สองสามวันที่ผ่านมารู้สึกว่าจิตใจไม่ก้าวหน้ามากนัก เผลอ ๆ อาจจะถอยหลังเสียด้วยซ้ำ

Saturday, October 30, 2004

วันที่ 48 ชาวโคราชถามหลวงปู่มั่น

ชาวโคราชถามปัญหาหลวงปู่มั่น

อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป

ชาวโคราช เท่าที่ท่านอาจารย์มาโคราชคราวนี้ เป็นการมาเพื่ออนุเคราะห์ประชาชนตามคำนิมนต์เพียงอย่างเดียว หรือยังมีหวังเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยในการมารับนิมนต์คราวนี้

หลวงปู่มั่น อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป อันเป็นการก่อทุกข์ใส่ตัว คนหิวอยู่เป็นปกติสุข ไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผา ตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ อาตมาไม่หลงจึงไม่แสวงหาอะไร คนที่หลงจึงต้องแสวงหา ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะไปหาให้ลำบากทำไม อะไร ๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วจะตื่นเงาและตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้ง ๔ ก็มีอยู่ภายในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้อย่างหมดสิ้นแล้ว จะหาอะไรกันอีกถ้าไม่หลง ชีวิตลมหายใจยังมีและผู้มุ่งประโยชน์กับเรายังมี ก็สงเคราะห์กันไปอย่างนั้นเอง คนหาคนดีมีศีลธรรมในใจนั้นหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเป็นไหน ๆ ได้คนดีเพียงคนเดียวย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นล้านๆ เพราะเงินเป็นล้านๆไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้อย่างถึงใจ เหมือนได้ คนดีมาทำประโยชน์คนดีแม้เพียงคนเดียวยังสามารถทำความเย็นใจให้แก่โลกได้มากมายและยั่งยืน เช่น พระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง คนดีแต่ละคนมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกอง และเห็นคุณค่าแห่งความดีของตนที่จะทำต่อไปมากกว่าเงิน แม้จะจนก็ยอมจน ขอแต่ให้ตัวดี และโลกมีความสุข แต่คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิดถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนชิปหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยวคนดดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรม คือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้ อย่าทำให้สายเกินไป จะหมดทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่างนั้น ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์ อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งเบาแบ่งหนักกันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรม

ชาวโคราช ขอประทานโทษพวกกระผมเคยได้ยินกิตติศัพท์กิติคุณท่านอาจารย์โด่งดังมานานแล้ว ไม่ว่าครูอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดตลอด ฆราวาส ใครพูดถึงอาจารย์ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์มิใช่พระธรรมดาดังนี้ จึงกระหายอยากฟังเมตตาธรรมท่าน แล้ว จะได้เรียนถามไปตามความอยากความหิว แต่ไม่มีความฉลาดรอบคอบในการถามซึ่งอาจจะทำความกระเทือนแก่ท่านอยู่บ้าง กระผมก็สนใจปฏิบัติมานานพอควร จิตใจนับว่าได้รับความร่มเย็นประจักษ์เรื่อยมา ไม่เสียชาติที่เกิดมาพบพระศาสนาและยังได้ กราบไหว้ครูอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์วิเศษด้วยการปฏิบัติธรรม แม้ปัญหาธรรมที่เรียนถามวันนี้ก็ได้รับความแจ้งชัดเกินคาดหมาย วันนี้เป็นหายสงสัยเด็ดขาดตามภูมิของคนมีกิเลสที่ยังอยู่ก็ตัวเองเท่านั้นจะสามารถปฏิบัติให้ได้มากน้อยเพียงใด
หลวงปู่มั่น โยมมาถามอย่างนั้นอาตมาก็ต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะอาตามาไม่หิวไม่หลงจะให้อาตมาไปหาอะไรอีก อาตมาเคยหิว เคยหลง มาพอแล้ว ครั้งปฏิบัติที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรโน้น อาตมาแทบตายอยู่ในป่าในเขาคนเดียวไม่มีใครไปเห็นจนพอลืมหูลืมตาได้ บ้าง จึงมีคนนั้นไปหาคนนี้ไปหา แล้วร่ำลือกันว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะอาตมาสลบสามหนรอดตายครั้งนั้นไม่เห็นใครทราบและร่ำลือบ้าง จนเลยขั้นสลบและขั้นตายมาแล้ว จึงมาเล่าลือกันหาประโยชน์อะไร อยากได้ของดีที่มีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงพากันวุ่นวาย หานิมนต์พระมาให้บุญ กุสลามาติกา นั่นไม่ใช่เกาถูกที่คันนะจะว่าไม่บอก ต้องรีบเกาให้ถูกที่คันเสียบัดนี้ โรคคันจะได้หายคือเร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้จะได้หายห่วงหายหวงกับอะไรอะไรที่เป็นสมบัติของโลกมิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา แต่พากันจับจองเอาแต่ชื่อของมันเปล่า ๆ ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ ข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาด และความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละรายท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายสรณะของพวกเราจะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตามทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจน ตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ อาตมาต้องขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนให้คนละชั่วทำดียังจัดเป็นคำหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนาเพราะไม่มีผู้ ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคนทำให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมัน แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนที่หยาบคายนับว่าเป็นโรคที่หมดหวัง

ได้ข่าวหลวงพ่อเพิ่ม วัดป่าสาละวัน ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย มีญาติโยมกับพระจำนวนหนึ่งบุกไปกุฏิของท่านตอนตีสองกว่า พบสีกาอยู่ในกุฏิ พร้อมทั้ง มีวีดีโอถ่ายไว้เป็นหลักฐาน แต่ท่านเองก็ปฏิเสธ เรื่องนี้จะจริงฉันใดก็ยังไม่ทราบ ถ้าจริงก็เป็นกรรมของท่านเองที่ทำไว้ก็เลยได้รับผลอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่จริง ก็เป็นผลกรรมเหมือนกัน แสดงว่าอาจจะเคยทำกรรมมาในอดีตก็เลยได้รับผลให้โดนใส่ร้ายอยู่ในขณะนี้ สรุปแล้วยังไงก็เป็นกรรมอยู่ดี ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ จิตใจเราก็ไม่ควรไปยึดติดนึกคิดอะไร ให้ดูที่ใจของตัวเองดีกว่า ไม่ต้องส่งออกไปคิดปรุงแต่งอะไรให้วุ่นวายสับสนเปล่า ๆ เอาให้ใจตนเองสงบร่มเย็นก็พอแล้ว
หมายเหตุ: ภายหลังทราบว่าเป็นการกลั่นแกล้งท่าน

Thursday, October 28, 2004

วันที่ 46 สัปดาห์แห่งการชำระศีล

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ปลอดโปร่งในใจเพราะสิ่งที่กังวลคืองานที่ทำให้หัวหน้าไม่ทัน และเรื่องอื่น ๆ อีกแต่พบว่าทั้งแผนงานของหัวหน้าและคนอื่น ๆ ที่จะเป็นสิ่งทำให้กังวลไม่มาอยู่ใกล้เราเลยคงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา ก็จะถือโอกาสนี้ชำระงาน และศีลทุกอย่างให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพื่อเป็นส่วนสำคัญทีสุดของกำลังใจ ในการปฏิบัติ เป็นด้วยบุญจริง ๆ รู้สึกอย่างนั้น

วันนี้ความเบากายเบาใจ ยิ้มได้อย่างมีความสุขแบบเบา ๆ ไม่หนัก จิตใจก็ไม่สับสนวุ่นวายมากนัก เป็นวันที่ดีวันหนึ่งเลยทีเดียว

ศีลข้อที่มีปัญหามากที่สุดคือ มุสา แม้การพูดเล่น การหยอก เล่นมุข การโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะกลัวโดนว่า พวกนี้ต้องระวังให้มากเพราะมันเคยชิน ส่วนใหญ่จิตใจของเรามันจะ โกหกไปอัตโนมัติ เพื่อเอาตัวรอด เตาต้องมีสติให้ไว ถ้าจะพูดต้องพูดความจริง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดเลยดีกว่า

Wednesday, October 27, 2004

วันที่ 45 อ่านหนังสือก็ส่งจิตออกนอก

อย่างส่งจิตออกนอกเรือนกาย ถ้าจะปฏิบัติจริง ๆ ต้องทำอย่างนั้น การอ่านหนังสือ การเขียนหรือพิมพ์หนังสือ เหล่านี้ล้วนเป็น การส่งจิตออกนอกทั้งนั้น ออกไปอยู่กับหนังสือเหล่านั้นแหละ ถ้าช่วงเวลาที่จะต้องทำกันเอาจริงเอาจังคงต้องงดเรื่องพวกนี้จริง ๆวันนี้หลังเลิกงานรู้สึกว่าสติสดใสดีเพราะเกิดมีสติอัตโนมัติถี่มาก

Sunday, October 24, 2004

วันที่ 42 - 44 ไปอยู่ที่วัดป่านาล้อม

ออกเดินทางจากบ้านแฟนตีห้าไปถึงวัดหกโมงกว่า ๆ หลวงตาให้หนังสือ ประวัติของหลวงปู่จันทา ถาวโร ให้มาอ่านเนื้อหาค่อนข้างดีเรื่องความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม แล้วก็มีรูปการผ่าศพ ในลักษณะต่าง ๆ ให้ดู เพื่อพิจารณาอสุภกัมถาน แล้วท่านก็ให้ไปอยู่ที่กุฏิถัดจากกุฏิของท่านออกไป ซึ่งติดกับเมรุเผาศพแต่สร้างยั้งไม่เสร็จ ต้องเผากันข้าง ๆ เมรุก่อน เมื่อเข้าก็พึ่งเผาเสร็จและเก็บกระดูกไปหนึ่งศพ รอยเผายังเห็นอยู่เลย นังสมาธิภาวนา สลับกับอ่านหนังสือ ท่องคำขอบรรพชา พอตอนเย็นก็ออกไปตีตาด (กวาดลานวัด) พยายามมีสติทุกอิริยาบถ ไม่สุงสิงยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่คุยกับใครเพราะเวลาคุยยังคุมสุติไม่ได้ พยายามอยู่คนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเพราะชีวิตข้างนอกนั้นยุ่งกับคนมาพอแล้วที่มาแสวงหาสถานที่นี้ก็เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก พอตกเย็นก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปหาหลวงตาที่โรงฉันน้ำร้อน มีพระท่านให้ยาร้อนมาทาน ทานเข้าไปแล้วรู้สึกร้อนท้อง แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นอาหาร คงขึ้นอยู่กับเจตนาของคนทานถ้าทานเพราะหิวก็ผิดทั้งนั้น แต่ถ้าทานเพื่อเป็นยาจริง ๆ ยังไงก็คงไม่ผิด แต่เรากิเลสยังท่วมหัวคิดว่าต่อไปจะไม่กินอีกแล้ว

พอมืดก็เดินกลับกุฏิเห็นความมืดแล้วเกิดความกลัวขึ้นมาเพราะที่นี่เป็นป่าช้า หลวงตาท่านพึ่งมาอยู่ เดินมาถึงกุฏิก็สวดมนต์ไหว้พระ ตามปกติในชีวิตประจำวัน แต่จะเพิ่มส่วนของการอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่แถวนั้นเป็นพิเศษ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิ นั่งได้ชั่วโมเดียวง่วง ก็เลยลงมาเดินจงกรม ตอนที่เดินนั้นมีความกลัวเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลาเพราะทางเดินนั้น อยู่ติดกับเมรุ แล้วก็รอยที่เขาเผาศพนั้นก็อยู่ห่างจากปลายทางจงกรมประมาณ 20 – 30 เมตรเท่านั้นเอง แล้วเงียบมาก ได้ยินเสียงใบใม้หล่นก็ตกใจแล้ว เดินอยู่ด้วยความกลัว สลับกับพุทธ โธ เป็นระยะ รู้แล้วว่าการภาวนาพุทธโธนั้นสำคัญ สำหรับพระใหม่อย่างไร เพราะตอนอยู่ในป่าช้านั้นความกลัวมีมาก อานาปานสติ เอาไม่อยู่ เพราะมันกลัว แต่พอท่องพุทธโธแล้วมีความอุ่นใจเกิดขึ้น เป็นคำที่เหมาะสมกับการภาวนาสำหรับผู้ที่มีความกลัวจริง ๆ เดินได้หนึ่งชั่วโมง ก็กลับขึ้นมานั่งสมาธิต่ออีกนิดหน่อยแล้วก็เข้านอน

ตื่นมาประมาณตีห้านั้งสมาธิแล้วก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน ไปกวาดลานวัด พอพระท่านไปบิณฑบาตรกลับมาท่านให้ลองกินในภาชนะใบเดียวดู พยายามมีสติ และกินให้สำรวมมากที่สุด ขณะกินเกิดบางอย่างขึ้นกับใจโดยอัตโนมัติ ตอนที่กัดข้าวเหนียวเข้าไปในปากครึ่งหนึ่ง แล้วก็เหลืออยู่ที่มีครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่านี่ไม่ถูกต้องเพราะมันขัด ๆ แล้วก็กินกล้วย การกินกล้วยพอกัดแล้วก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ถูกอย่างไร พอตอนบ่ายก็เลยมาได้คำตอบจากการอ่านหนังสือของหลวงปู่จันทา ถาวโร ท่านบอกว่า ข้าวตกจากปากลงไปในบาตรจะทำให้ข้าวในบาตรทั้งหมดเป็นเดนทันที ถ้ากินต่ออาบัติทุกคำกลืน การกัดข้าวเหนียวก็เหมือนกัน กัดกล้วยก็เหมือกัน ส่วนที่เหลือมันเป็นเดน กินคำต่อไปอาบัติ ทานให้แบ่งให้พอดีคำแล้วค่อยเอาเข้าปาก ซึ่งจะทำให้เจริญสติได้ดีมาก พระวินัยทุกข้อ ล้วนเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ เพื่อ สติ เพื่อสมาธิ เพื่อ สำรวมกาย ทั้งนั้น เป็นพระจะทำอะไรต้องระวังให้มาก ถ้านั่งฉันข้าวแล้วคุยกันก็ผิดเพราะกินไปด้วยคุยไปด้วย อาจจะไปรบกวนพระรูปอื่นที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ ต้องตั้งใจระวังให้มาก สิ่งที่ได้รู้อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อจิตใจพยายามทำศีลใหบริสุทธิ์แล้ว พอจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องมันจะรู้สึกขัด ๆ เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่บางครั้งไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีศีลข้อนี้อยู่ นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งในการรักษาศีล

กลางวันทั้งวันไม่สุงสิงกับใคร ทำสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง ท่องคำของบรรพชาบ้าง พอตกเย็นก็ทำสมาธิแล้วก็ไปเดินจงกรมเหมือนเดิม แต่เที่ยวนี้กลัวกว่าเมื่อวานอีก เดินได้เพียง ยี่สิบนาทีก็ขึ้นไปบนกุฏิเพราะสู้ความกลัวไม่ไหว ต้องไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ทำสมาธิ พอทำไปสักระยะก็เลยง่วงนอน ก็เปลี่ยนมาเจริญสติตามวิธีการของหลวงพ่อคำเขียน เสร็จแล้วก็ได้ตามดูจิต พบว่าตอนที่ลงไปเดินนั้นพยายามทำสมถะแต่มันทำลำบากเพราะมีความกลัวอยู่มาก ตอนนี้ก็เลยดูอาการของจิตและตามดูความคิด รู้สึกว่าความกลัวหายไปเยอะเพราะเป็นการดูอาการของจิต ก็เลยลงไปเดินจงกรมใหม่อีกรอบความกลัวหายไปเยอะแต่ยังมีอยู่ เดินไปเดินมาก็พอได้ ก็เลยคิดว่าจะไปเดินใกล้ ๆ ข้าง ๆ ที่เขาเผาศพเลย แล้วถ้ามันกลัวมากจะไปนั่งติดกับรอยที่เขาเผาศพเลย แต่ปรากฏว่าไม่กล้าไปเพราะ เกิดความรู้สึกว่าศีลของเรายังมีด่างพร้อยอยู่ยังไม่ดีพอ ถ้าศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยจะทำให้มีความกล้าเต็มร้อย และไม่มีความกังวล เหมือนมีเกราะคุ้มกันเราอยู่ เรื่องนี้สำคัญมากกลับไปเที่ยวนี้ต้องเอาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะถ้าศีลด่างพร้อยแม้นิดเดียวก็ไม่ดีเสียแล้ว ก็กังวลเสียแล้ว

ตื่นเช้ามาตีสี่ก็ยังมีความอยากที่จะไปเดินจงกรมที่ข้างเมรุอยู่แต่ความกลัวก็ห้ามไว้ ก็เลยนั่งสมาธิอยู่ในกฏิ พอเช้าก็ออกไปกวาดลานวัดพอกินข้าวเสร็จแฟนก็มารับ ออกไปที่เขากวนข้าวทิพย์ เป็นป่าช้าอีกที่หนึ่งซึ่งหลวงตาท่านไปบุกเบิกพยายามสร้างวัดเหมือนกัน แต่ยังรกอยู่มากแล้วเป็นป่ามากกว่าที่นาล้อมเสียอีก หลวงตาบอกว่าถ้าบวชแล้วจะส่งมาภาวนาอยู่ที่นี่ คิดหวั่นอยู่ในใจ เพราะที่นี่น่ากลัวกว่ามาก ไม่เป็นไรถ้าต้องมาก็ต้องมา หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไป ภูจ้อก้อ ไปดูวัดของหลวงปู่หล้า เพราะเคยอ่านแต่หนังสือท่าน ก็ประทับใจพอสมควร ถ้าบวชแล้วจะมาขอพักอยู่ที่นี่สักอาทิตย์คงจะดี ก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านที่ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาภาวนาอยากจะมีเวลาภาวนามาก ๆ พอมาอยู่วัดเวลาเหลือเฟือเยอะมาก จนรู้สึกว่าเยอะเกินไปเพราะไม่ต้องทำอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียวตั้งแต่ตื่นจนนอน เกิดความรู้สึกว่าเราจะอยู่ได้หรือ ถ้าภาวนาไปแล้วไม่ก้าวหน้าคงจะอยู่ลำบางและอึดอัดมากเลย ถ้าเราทำได้เหมือนกับสมัยหลวงปู่มั่นท่านเริ่มภาวนาแล้วเห็นความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ คงจะมีความสุขกับสมณะเพศมากเพราะวันทั้งวันเป็นเวลาภาวนาหมด แต่ถ้าทำไม่ได้จะเกิดความเบื่อมาก เราอยู่บ้านก็ร้อน ๆ อยากออกไปหาความสงบ พอไปเจอความสงบก็สงบมากเสียจนใจหาย ใจของเราคงกำลังก้ำกึ่งอยู่จะอยู่ฝั่งไหนก็รู้สึกอึดอัด แต่ถ้าใจของเราเป็นพระจริง ๆ เข้าใจว่าอยู่ที่บ้านคงร้อน ไปอยู่กับความสงบคงเย็น ไร้คืนไร้วันกาลเวลามาบีบกายใจ ต้องฝึกจิตใจให้ได้ถึงขั้นนั้นให้ได้

Friday, October 22, 2004

นที่ 40 บุกรังกิเลส

ความอยากสอนธรรมะก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง พิสูจน์ได้จากกิเลสมันเอาไฟมาเผาเรา เหมือนหลวงปู่มั่นท่านว่าไว้จริง ๆ “เผลอไม่ได้มันเอาไฟมาเผาเรา” ตอนที่สอนหรือเล่าให้เขาฟังแล้วเขาฟังนั้นมันก็ดีหรอก เพราะมันมีความยินดีเป็นสุข เขาก็คงมีความสุข (หรือเปล่าไม่รู้) อันนี้ไม่เป็นปัญหา จะมีกิเลสหรือเปล่ามองไม่ออก มีหรือไม่มีก็ไม่สำคัญเท่าไรนักเพราะผลคือมันเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไรที่มันไม่ได้สอน คือมันตั้งใจว่าจะสอนแล้วไม่ได้สอน จิตมันจะพลิกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เห็นขึ้นมาทันใด จิตจะเร่าร้อนทันที นั่นไงเห็นแล้วกิเลสมันกำลังเอาไฟเผาเรา ร้อนทันที เห็นทันทีเหมือนกัน การอยากสอนธรรมะมีความทุกข์อยู่สองชั้นคือ ก่อนสอนจะกังวลคิดหลายรอบ พยายามหาคำมาอธิบายให้เข้าใจ คิดวนไปวนมาฟุ้งซ่าน นี่เป็นเหตุทำให้จิตไม่สงบหนึ่ง และถ้าไม่ได้สอน คือไม่สมใจอยากของมันมันก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันทีอีกหนึ่ง
การเสพเมถุนเป็นทางเสื่อมแห่งการภาวนาจริง ๆ ตอนนี้จิตก็ไม่ค่อยมีความต้องการเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่บางอย่างก็ต้องทำไปตามหน้าที่ของปุถุชนชาวโลก เพราะถ้าไม่ทำจะเกิดความทุกข์ในการอยู่ร่วมกับคู่ครองกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก วุ่นวายอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น หลังจากการเสพเมถุนแล้วร่างกายจะไม่ค่อยมีกำลัง สติก็จะไม่หนักแน่น เป็นลอย ๆ เหม่อ ๆ จิตจะออกไปทางเหม่อลอยเสียมากกว่า เป็นการเหมาะสมที่สุดแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติห้ามไว้ สำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิต ซึ่งต้องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
เพลงเหมือนเดิมแต่จิตที่ฟังเปลี่ยนไปทำให้เพลงเปลี่ยนไป ฟังเพลงหลวงปู่มั่นมาหลายรอบเห็นอาการของจิตทีมีผลต่อเพลง ตอนที่อารมณ์ดี ๆ ใส ๆ ก็จะฟังเพลงได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ถ้าอารมณ์ขุ่นก็จะได้อีกแบบหนึ่ง ถ้าอารมณ์มีกิเลสมาก ๆ ต้องการอะไรบางอย่างมาก ๆ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จิตมันปรุงแต่งหาความแน่นอนไม่ได้จริง ๆ
ตั้งใจปฏิบัติมาพอสมควร ก็ไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้จะตามใจกิเลสเสียส่วนใหญ่ ทำตามแล้วก็ดูมัน แต่กิเลสนี่มันแสบจริง ๆ มันเอาไฟมาเผาเราอยู่เรื่อย บางวันสองสามเรื่อง แต่ละเรื่องไม่รู้กี่รอบเผาจนเกรียมไปหมดแล้ว บางวันหนักหน่อยเป็นสิบเรื่อง ยังไม่เจอเลยสักวันที่มันไม่เล่นงานเรา ตั้งรับกันมานานพอสมควร เราก็รับแล้วก็แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ตอนนี้เอาใหม่ไม่ยอมให้มันรุกเราเพียงฝ่ายเดียวแล้วต้องโต้ตอบบุกเผารังของมันตามคำสอนครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น จะปล่อยให้มันย่ำยี เหยียบย่ำ เยาะเย้ย ทำร้าย เราฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องเอาคืนบ้าง ไหน ๆ ก็ประกาศสงครามกันแล้ว จะตั้งรับฝ่ายเดียวปล่อยให้กิเลสมันมาเคาะประตูหน้าบ้านเราอยู่ฝ่ายเดียว รักตัวกลัวตาย เห็นจะไม่ใช่ชายชาตินักรบ นักรบของพระพุทธเจ้าต้องกล้ายิ่งกว่านักรบของกองทัพใด ๆ ในโลก เพราะกองทัพของเราคือกองทัพธรรม ต้องต่อสู้กับกิเลสซึ่งมีกำลังมากมายมหาศาล ครอบครองหัวใจของมนุษย์ทั้งโลก มันควบคุมโลกทั้งโลกอยู่สร้างความเดือดร้อนให้โลกอยู่ตลอดเวลา เราเป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม มีพระนิพพานเป็นแดนชัย มีใจเป็นแดนรบ ต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กิเลสไม่ว่าจะตัวใหญ่ตัวเล็กตัวน้อยต้องเผชิญหน้ากับมันจัดการให้ราบคาบ เอากันให้ตายไปข้าง มันไม่ตายเราก็ตาย ถ้ามัวแต่หดหัวกลัวกิเลสกลัวตายอยู่ หวังจะให้มันอ่อนกำลังตายไปเองอีกกี่ชาติจึงจะชนะ มีแต่มันจะย่องมาเขกหัวเราข้างในบ้าน ต้องเอามันคืนบุกรังของมัน จิตใจต้องเด็ดเดี่ยว อะไรที่เป็นกิเลสต้องไม่ทำตามมัน ต้องทรมานมัน เอาให้ถึงที่จนกว่ามันจะยอม
ขณะเดินกลับจากห้างเดอะมอลล์โคราช เพื่อกลับที่พัก โดยปกติจะไม่ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะ ถือโอกาสเดินเพื่อปฏิบัติธรรมไปด้วย ขณะเดินเกิดสติที่เห็นเท่าทันขึ้นมาในระหว่างเดินนั้น ทำให้เข้าใจว่าความเป็นปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร ความเป็นปัจจุบันนั้นสั้นมาก สั้นจนไมสามารถจะกำหนดระยะเวลาได้แต่สัมผัสได้ด้วยจิตที่มีสติที่สดใสมาก ๆ ก่อนหน้านี้ที่ตามดูจิตมา จะเป็นการตามแบบห่าง ๆ คือพยายามตามดูว่ามันคิดอะไร พอมันเริ่มต้นคิดจนกระทั้งจบเราจะไม่รู้ขณะจิตนั้น พอมันคิดจบตัวรู้จะเกิดขึ้นตามมาทีหลังบางครั้งก็มีอย่างอื่นมาแทรกบางครั้งก็ไม่มี แล้วตัวรู้ก็จะดับไป แล้วก็จะเกิดความคิดใหม่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ คือส่วนใหญ่ความคิดจะเกิดขึ้นจนจบ ตัวรู้ค่อยจะตามมา หรือเกิดไปสักระยะหนึ่งแล้วตัวรู้ก็แทรกขึ้นมา พอตัวรู้แทรกขึ้นมาความคิดก็ดับลง จะเป็นอย่างนี้ อันนี้เข้าใจว่าเป็นการเอาสติตามแบบห่าง ๆ บางครั้งก็เกิดการพยายามจะเอาสติไปดักหน้าความคิด คือมีตัวอีกตัวหนึ่งไปดักดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น จ้องดูจิตอยู่ พอจิตคิดไอ้ตัวที่ดักอยู่นี้ก็กระโดดไปจับความคิดทันที อันนี้ก็ไม่ถูกเพราะตัวที่ดักนี้ก็เป็นอาการของจิตอีกแบบหนึ่งซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันพยายามจะไปจับคนอื่น แต่มันจะไม่รู้ตัวมันเองมันไม่เห็นตัวมันเอง เข้าใจว่าการดักนี้ก็เป็นโมหะอีกตัวหนึ่ง ทั้งการดักและการตามไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การปฏิบัติก็ต้องเริ่มมาจากลักษณะนั้นก่อน สิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่เรียกว่าสติ หรือมหาสตินั้นน่าจะเป็นการรู้ที่เกิดขึ้นทันทีไปพร้อม ๆ กับความคิดแล้วก็ดับลงไปพร้อม ๆ กัน สติจะต้องเข้าไปแทรกอยู่หรือเป็นเหมือนอันหนึ่งอันเดียวกันกับความคิด เรื่องนี้สามารถเอาไปตรวจทานดูขณะทำกายคตาสติก็ได้ เพราะเมื่อตอนบ่ายนั่งอยู่ที่บริษัทแล้วยกแขนขึ้นงอเข้ามาแล้วยืดออก สตินั้นตามไปทุกกระเบียดนิ้วแม้เศษเสี้ยววินาทีแล้วก็ดับลงไปในทุกเศษเสี้ยววินาทีเหมือนกัน ต่อไปต้องพยายามทำสติตัวนี้ให้มาก ๆ วันนี้เป็นวันแรกที่ทำได้ ถึงแม้จะเพียงไม่กี่ขณะจิตก็เถอะ

Thursday, October 21, 2004

วันที่ 39 ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย

ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย (เล่ม ๗)
[๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรม ของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความประกอบ ไม่ใช่เพื่อความพราก
เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม
เป็นไป เพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด
เป็นไป เพื่อความเกียจคร้าน ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์
ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ
เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม
เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก
เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่ เพื่อความเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ

สังขิตตสูตร (เล่ม ๒๓)
[๑๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่หม่อมฉันซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก
เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ
ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก
เป็นไปเพื่อสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ

Wednesday, October 20, 2004

วันที่ 38 ทำผิด

บางครั้งเราก็ทำผิดทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันผิด แล้วก็มากังวลเรื่องผลของกรรมที่จะตามมา สิ่งที่พอจะทำได้ไม่ทำร้ายตัวเองก็คือยิ้มรอรับผลกรรมอย่างเต็มใจ เพราะยังไงเสียก็หลีกไม่พ้นอยู่แล้ว ลองทำดูพบว่าทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นนะ

Monday, October 18, 2004

วันที่ 36 สาเหตุที่ตถาคตประพฤติพรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้
เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้
เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้
โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ

Sunday, October 17, 2004

วันที่ 35 ทางไปพรหมโลก

ช่วงนี้ไม่ได้ทำการบันทึกเนื่องจากงานค่อนข้างเยอะต้องตื่นตีห้ามาทำงานที่ค้างอยู่ แล้วไปทำงาน กลับมาก็เอางานมาทำที่บ้านด้วย ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จก่อนไปบวชจะได้ไม่ต้องมีห่วง มีกังวล ยังพยายามติดตามลมหายใจ และมีสติทุกอิริยาบถเหมือนเดิม แต่ไม่ค่อยเห็นความก้าวหน้าเท่าไรนัก

ทางไปพรหมโลก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

Monday, October 11, 2004

วันที่ 29 ตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีในพระไตรปิฎก

ช่วงหลัง ๆ พออ่านหนังสือเล่มอื่นแล้วพยายามจะตรวจทานพระไตรปิฎกอีกรอบหนึ่ง เพื่อความแน่ใจเพราะกลัวว่าหนังสือบางเล่มบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้จริงหรือเปล่า สิ่งที่พอจะตรวจทานได้ก็คือการตรวจกับพระไตรปิฎกนั่นเอง

Saturday, October 09, 2004

วันที่ 28 พิจารณาธรรม

รูสึกตัวก่อนตีห้าแต่ไม่ลุกไม่ดูนาฬิกา พอได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือปลุกค่อยลุก มาหุงข้าวกล้องแล้วขึ้นไปเดินจงกรม แต่เดินได้ไม่นานเหมือนทุกวันเพราะปวดท้องก็เลยลงมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวไปวัดป่าสาละตามปกติ ซึ่งไม่ได้ไปมาหลายสัปดาห์แล้วเพราะไม่ได้อยู่ที่โคราช

พิจารณาธรรม เรื่องสภาวะแห่งนิพพานอยู่ หลายชั่วโมง ความเข้าใจในระดับสัญญาคิดว่าเข้าใจพอสมควรแล้ว ไม่อยากอธิบายในที่นี้เพราะกลัวจะผิดพลาด เพราะเป็นความเข้าใจในระดับสัญญาเท่านั้น เอาไว้ตอบคำถามเรื่องสภาวะนิพพานให้ตนเองคร่าว ๆ เท่านั้น

อย่าได้ยึดถือ เนื้อความนี้ได้เคยศึกษา และอ่านมาแล้ว แต่วันนี้ได้เปิดดูพระไตรปิฎก เพื่อเป็นการยืนยันว่า ในพระไตรปิฎกมีจริงเท่านั้น เป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปเทศโปรด พวกชนกาลามโคตร คัดมาเพียงบางส่วนเท่านั้น

เกสปุตตสูตร [๕๐๕] ๖๖
พระผู้มีพระภาคต รัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เ มื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

Friday, October 08, 2004

วันที่ 27 อริยะประเพณี

ตื่นตีห้าเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งไว้ แล้วก็ขึ้นไปเดินจงกรม
นั่งฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่น มาหลายรอบเพลงที่ชอบ ลึกซึ้งและซาบซึ้งเข้าไปในใจมากที่สุดคือ เพลงสาวกพระอรหันต์ โดยเฉพาะเนื้อความตอนที่สั่งสอนการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ซึ่งเป็นอริยะประเพณี

ในบางราตรีที่ท่านอยู่ในถ้ำสาริกา มีพระอรหันต์มา มาสั่งสอนธรรมให้
ทางสมาธินิมิตเห็นได้ สอนธรรมสุดจับใจ ให้เห็นประเด็นหนักเบา
ดั่งได้ฟังธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า น้อมนำเอาธรรมมาใคร่ควร
แสนอิ่มเอิบอบอวล ด้วยอรรถธรรมล้วน ๆ เย็นฉ่ำสัมพันธ์
เหมือนโลกและธาตุขันธ์ ไร้คืนไร้วัน กาลเวลามาบีบกายใจ
ข้อความของพระธรรม ที่นำมาแสดง ท่านกล่าวแถลง แสดงชี้แจงจนถึงใจ
ตั้งแต่เดินจงกรม เหมาะสมนั้นทำยังไง การเคลื่อนไหวใด ๆ ต้องมีสติตั้งประคอง
การบิณฑบาตร ขบฉัน และขับถ่าย การพูดจา ปราศัยใส่ใจปอง ควรมองและตรองให้ถ้วนถี่
อันถือเป็น อริยะประเพณี เคลื่อนไหวไปมา ทิศทางใดก็ดี ต้องมีสติตามแทรกแซงทุกแห่งหน
สมณะที่ดีไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ไม่พึงก่อเหตุเพศภัย กิเลสเผาใจในตัวตน
ให้ระบาดสาดกระจาย ลุกลามไปเผาลน คนอื่นทั้งตัวตน เราเองจงเร่งระวัง
คนเลวใจเลวสิ่งที่เลวในโลกหล้า ไม่มีใครปารถนามาเมียงมอง หวังใผ่ปองอยู่ข้าง
ยิ่งสมณะเลวแล้วยิ่งน่าชิงชัง ทิ่มแทงใจไม่สร่างทั่วทั้งแผ่นดินและอินทร์พรหม
อีกอาหารใด ๆ ก่อนฉันให้พิจารณา อย่าติดรสโอชาที่เร้นซ่อนพาชิวหานิยม
เสริมสร้างแต่เพียงร่างกาย ส่วนใจนั้นดังไฟเผารม อาพับทับถม จอดจมดั่งรมด้วยเปลวไฟ
การบำรุงรักษาใด ๆ ในโลกนั่น เยี่ยมยอดอนันต์ คือการรักษาใจตน ให้สูงจนพ้นภัย
รู้ธรรมเห็นธรรม ที่งามเชิดชูคือรู้ใจ มรรคผลนิพพานอำไพ เกิดขึ้นที่ใจจงใผ่ตรอง
สมณะผู้รักในศีล สมาธิ ปัญญา รักสติ รักศรัทธา รักความเพียร ไม่เหือดหาย
จะเป็นสมณะที่เต็มภูมิทำได้ ทั้งปัจจุบันสมัย อนาคตอันใกล้ดังปอง
นี่คือธรรมที่สมควรยกย่อง อันวิไลใสผ่องขององค์พระศาสดา
อันหาใดเทียมค่า มีหรือจะคู่ควร จงคิดใคร่ควร ทบทวนอยู่ทุกเวลา
นี่คือธรรมที่สำคัญล้ำค่า จงพิจารณาธรรมที่ฝากเอาไว้
อีกในไม่ช้า กิเลสที่มาเผาไหม้ บอกให้ท่านมั่นใจ จะหมดสิ้นไปในอีกไม่นาน


หลังจากได้ฟังเพลงนี้แล้ว ประกอบกับได้อ่านแนวการปฏิบัติของท่าน ก. เขาสวนหลวง จากเว็บสันติธรรม (www.santidharma.com) และก็ตรวจสอบดูในพระไตรปิฎก พบดังนี้
ธรรม ๒ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ สติ ๑ สัมปชัญญะ ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ
ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ
ธรรม ๒ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ
.......

จะเห็นว่านอกจากการตามรู้ รูป นาม คือ ลมหายใจ กายส่วนอื่น ๆ และจิตที่ทำอยู่แล้ว สิ่งที่ควรเพิ่มเติมเข้ามาอีกอย่างตอนนี้คือ จะต้องมีสติ ตลอดวันตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน จะขยับกายเคลื่อน ไหวใด ๆ เอาสติ ติดตามเข้าไปให้หมด นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เริ่มทำและจะทำต่อไปอย่างเข้มข้น

สอนธรรมะ : บางครั้งสอนธรรมะคนอื่นด้วยกิเลส บางครั้งสอนด้วยความเมตตา แต่ยังแยกไม่ค่อยออกนัก ต้องระวังให้มาก

Thursday, October 07, 2004

วันที่ 26 ตื่นยากตื่นเย็น

รู้สึกตัวตอนตีสี่กว่า ๆ ก็เลยเอาโทรศัพท์มือถือมาถือไว้ว่าจะลุกตอนตีห้าตรงเพราะถ้าลุกเร็วกลัวว่าจะง่วง ปรากฏว่านอนเตลิดมารู้สึกตัวอีกทีตีห้าสี่สิบ แล้วก็นอนต่อไปอีกลุกขึ้นมาอีกทีหกโมงยี่สิบ จะเห็นว่าการตื่นนอนเป็นปัญหาสำหรับเราจริง ๆ ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ให้ทำสองวิธี คือ หนึ่งลุกขึ้นมาเลย มันไม่ง่วงมากเท่าไรหรอก สองไม่ต้องดูนาฬิกาให้นอนต่อไปเลยแล้วถึงเวลาค่อยลุกตามนาฬิกา ให้ทำสองอย่างนี้ ห้ามลุกขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วนอนต่อเด็ดขาด

วันนี้ช่วงเช้าก็เหมือนปกติทุกวัน แต่ช่วงหลังเลิกงานค่อนข้างดี เห็นอิรยาบถค่อนข้างถี่ ตลอดจนเข้านอน

Wednesday, October 06, 2004

วันที่ 25 เดิน

ตื่นตีห้าตรงลุกขึ้นไปเดินจงกรม ตอนตื่นมีความรูสึกเหมือนเมื่อวานคือมีจิตใจที่จะลุก เหมือนกับว่าจิตมันเริ่มเรียนรู้แล้วว่า ถ้าไม่ลุกก็จะเกิดความทุกข์ วิตก กังวล ขึ้นภายหลังด้วยเหตุที่ไม่ลุก แล้วก็ต้องลุก วันนี้เดินจงกรมเน้นที่รู้สึกถึงฝ่าเท้าและช่วงขา ส่วนลมหายใจนั้นไม่ตั้งใจจะเห็นก็แทบไม่เห็นเลย ก็ไปเรื่อย ๆ ลงมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานพบว่าจิตใจค่อนข้างสดใส มีความสุขจากภายในนิด ๆ

ตอนเดินทางกลับบ้านขณะนั่งอยู่บนรถบริษัทเอาสติตามรู้ลมหายใจมาเรื่อย ๆ พอซักระยะหนึ่งก็เลยหลับตาเพื่อดูลมหายใจอย่างเดียว เห็นลมหายใจเพียงสองสามครั้งเท่านั้น แล้วก็ดับหายไปเลยลืมตาอีกทีรถบริษัทวิ่งเลยทางเข้าที่พักมาจนจะสุดท้างแล้ว สรุปแล้วมันหลับแต่มันหลับตอนทำสมาธิก็เลยหลับง่ายหน่อย ก็เลยลงรถที่ปลายทาง พอลงรถไม่มีความคิดที่จะขึ้นรถเมล์กลับมาทางเดิมเลยมีความคิดอยากจะเดินกลับมากกว่าก็เลยเดินกลับระยะทางประมาณเจ็ดถึงแปดกิโลเมตร เดินอยู่ชั่วโมงกับสี่สิบนาที ก็มาถึงห้อง ขณะเดินก็กำหนดสติตามรู้ขา การเดินและลมหายใจมาตลอดทาง เหมือนกับการเดินจงกรม ไม่รู้สึกว่าไกล ไม่ทุกข์ขณะเดิน เดินมาเรื่อย ๆ พยายามรู้สึกตัวมาตลอดทาง แต่เมื่อยขานิดหน่อย ตอนเดินมาไม่ได้ดูนาฬิกาเลยเพราะไม่ได้สนใจว่าจะใช้เวลาเท่าไรสนใจแต่สติเท่านั้น พอเดินมาถึงประตูห้องก็ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วก็เลยตั้งใจประมาณว่าตัวเองเดินมาประมาณชั่วโมงสี่สิบนาที เพราะฉะนั้นถ้าเข้าไปดูนาฬิกาต้องประมาณ ทุ่มห้าสิบห้านาที เพราะออกเดินตอนหกโมงสิบห้านาที พอคิดเสร็จก็เลยเปิดประตูห้องเข้ามา อัศจรรย์เหลือเกินนาฬิกาบอกเวลา ทุ่มห้าสิบห้าพอดีเปะ ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูปรากฏว่าทุ่มห้าสิบสาม ถ้ายึดตามนาฬิการที่ห้องก็พอดีเปะ แต่ถ้ายึดตามโทรศัพท์มือถือ ก็ผิดพลาดเพียงสองนาทีเท่านั้น ฟลุ๊กจริง ๆ


คำสอนของหลวงตามหาบัว
ธรรมชาติของจิต จะไปหยุดนิ่งอยู่นานๆ ไม่ได้เดี๋ยวมันก็คิด ในช่วงนั้นถ้าเกิดความคิดขึ้นมาปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ สิ่งที่มันคิดนั้นจะเป็นอะไรก็ได้เรื่องครอบครัว เรื่องการเรื่องงาน เรื่องผู้เรื่องคน จิปาถะสารพัดที่จะคิดขึ้นมา เมื่อมันคิดขึ้นมาอย่างนั้น ปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ รู้ รู้ เป็นการส่งเสริมให้จิตของเรามีพลังเข้มแข้ง เพราะความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดสติปัญญาจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้จากความคิด เมื่อจิตมีความคิด สติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ความคิดสะเปะสะปะเหลวไหลนั่นแหละจะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ เพราะจิตของเราคิดแล้วจะรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไปๆ เมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้นกลายเป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็สามารถกำหนดหมายรู้ความคิดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็รู้พระไตรลักษณ์ขึ้นมา ก็กลายเป็นปัญญาในขั้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะไปข้องใจสงสัยอยู่ทำไมหนอรีบเร่งบำเพ็ญภาวนาให้มากๆ ให้ได้สมาธิเป็นเบื้องต้น ทีนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจ หรือไม่มีอะไรจะคิดก็ให้กำหนดจิตรู้ที่จิตเฉยๆ ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด ว่างรู้ที่ความว่าง คิดรู้ที่ความคิด ไล่ตามกันไปอย่างนี้ เมื่อเราฝึกหัดจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้อารมณ์จิตหรือความคิด สติก็ทำหน้าที่ตามรู้คอยควบคุม เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง เมื่อพิจารณาไปพอสมควรแล้ว บางครั้งจิตอาจจะสงบลงในท่ามกลางแห่งภาวนา แล้วก็หยุดพิจารณา เมื่อมันหยุดพิจารณา ไปนิ่ง รู้เฉยอยู่ ให้กำหนดตัวผู้รู้ ในขณะกำหนดตัวผู้รู้ จิตจะหยุด นิ่งอยู่ ก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าไปรบกวน น้ำใจกำลังจะนิ่ง ในเมื่อน้ำใจนิ่ง ไม่มีคลื่นไม่มีฟอง ไม่มีอารมณ์มารบกวน เราก็จะสามารถเห็นจิตเห็นใจของเราได้ทะลุปรุโปร่ง เหมือนๆ กับน้ำทะเลที่มันนิ่ง เราสามารถมองเห็น เต่า ปลา กรวด ทราย สาหร่าย อยู่ใต้น้ำได้ถนัด ฉันใด ในเมื่อจิตของเรานิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน เราก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในจิตของเราได้อย่างชัดเจน อะไรผุดขึ้นมา จิตจะกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ

จิตกลับตัว : ถึงเวลาจิตมันจะเป็นมันก็เป็นของมันเอง บางครั้งมันถลำไปในโทษะ ราคะ โมหะ ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น แต่พอมันจะกลับมันทำของมันเอง เราไม่ได้ทำอะไรเลย

Tuesday, October 05, 2004

วันที่ 24 กลัวความเย็น

ตื่นตีห้าตรงลุกขึ้นไปเดินจงกรม วันนี้ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่นสักเท่าไร แต่ก็ไม่เพลีย แต่มีจิตใจที่จะลุก ถ้าได้จิตใจในการลุกแ บบนี้ทุกวันคงดี เสร็จแล้วเดินทางไปทำงานตามรู้ความคิดและลมหายใจ ขณะที่อาบน้ำตอนกำลังจะเอาฝักบัวราดลงที่ตัวมองเห็นความกลัวน้ำเย็นของจิตแว้บขึ้นมาทันที หลังจากแว้บเพียงเสี้ยววินาทีน้ำเย็นก็สัมผัสกับผิวหนังบริเวณต้นคอ อก และหลัง ความกลัวความเย็นของจิตดับลงทันที แล้วมาโผล่ที่ความเย็นของน้ำที่สัมผัสกับผิวหนังแทน แล้วเราก็ตามรู้กายในการอาบน้ำถูสบู่ปกติต่อไป จิตมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ มันรับรู้ได้เพียงหนึ่ง

Monday, October 04, 2004

วันที่ 23 ตื่นแล้วนอนต่ออีกนิด

ตื่นตีห้าตรงแล้วนอนต่อลุกขึ้นมานั่งสมาธิตีห้าสี่สิบ พอนั่งเสร็จหกโมงห้านาที กิเลสขอนอนต่ออีกนิดนึง ตื่นมาอีกที เจ็ดโมง อาบน้ำแต่งตัวไปขึ้นรถบริษัทไม่ทันต้องขึ้นรถประจำทางแทน แต่โชคดียังไปทำงานทัน เท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าปัญหาการตื่นยังแก้ไม่ได้ คือบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการอดอาหารเย็นไม่ได้ แต่เราไม่เป็น เรามีปัญหาเรื่องการตื่นนอนเป็นอย่างมาก ตื่นมาแล้วงัวเงียไม่สดชื่น ต้องขอนอนต่อแล้วก็เตลิด เสียการเสียงานมาแล้วนักต่อนัก ต้องแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบแบบแผนลองดูว่าจะได้ผลหรือเปล่า ตามวิธีการของครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าให้ลองลดอาหารดู เดี๋ยวจะลองลดอาหารในแต่ละวันแล้วก็แต่ละคาบดูว่าจะได้ผลหรือไม่

Sunday, October 03, 2004

วันที่ 22 กลับบ้าน

ตื่นตีห้าครึ่ง นั่งสมาธิถึงหกโมง แล้วนอนต่อลุกอีกทีแปดโมง อาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวออกเดินทางไปแวะบ้านที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแฟนประมาณ ร้อยกว่ากิโลเมตร

ก่อนกลับแฟนถามว่าได้ให้หนังสือแม่หรือยัง ก็เลยตอบว่าก่อนให้อยากอธิบายพื้นฐานให้ฟังก่อน โดยส่วนตัวแล้วก็อยากจะทำอย่างนั้นแต่ว่า ตอนนั้นมีความรู้สึกหวงหนังสือไม่อยากให้ขึ้นมาในใจ กิเลสโผล่ขึ้นมา สติก็เห็นทันที แต่ห้ามมันไม่ได้มันหวงก็ปล่อยให้มันหวงไป ขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถออกมา ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมาหยิบหนังสือสองเล่ม เอาไปให้ป้ากับแม่ของแฟนซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน แล้วก็พูดนิดหน่อย ขณะที่ให้นั้นมีโทษะเจือนิดหน่อยที่ไปขัดใจกิเลสมัน คือมันไม่อยากให้ แต่แฟนเขาอยากเอาให้ จิตก็เลยเหมือนทำประชด คิดว่า ณ ตอนนั้นบุญคงไม่เกิด คงเป็นศูนย์แน่นอน ไม่เป็นไรจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง อย่างน้อยกิเลสตัวหวงมันแพ้เรา แค่นี้ก็ดีใจแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกดีก็คือถึงแม้ว่าจะเกิดอาการความรู้สึกหวง โกรธ ขึ้นมามีตัวรู้มองดูอยู่เห็นอิริยาบถความเป็นไปของจิตอย่างแจ่มแจ้ง

ขณะขับรถกลับบ้านก็ตามรู้กายไปเป็นระยะ คือส่วนใหญ่มันจะรู้เอง จู่ ๆ มันก็รู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวก็จะเห็นลมหายใจบ้าง เห็นความคิดบ้าง หรือบางทีก็เห็นความรู้สึกสัมผัสระหว่างมือกับพวงมาลัยบ้าง มือกับเกียร์บ้าง เท้ากับคันเร่งบ้าง สลับกันไปมาอย่างนี้เรื่อย ๆ สลับกับความคิด

พอเดินทางไปถึงบ้านก็สวัสดีน้าสาวทั้งหลาย ทราบว่าท่านรออยู่ คือท่านกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพ แต่พอทราบว่าเราจะมาก็เลยรอพบเราก่อน พอไหว้น้าเสร็จก็เลยเข้าไปสวัสดียายแล้วก็เล่ารายละเอียดที่จะบวชให้ฟัง เราจะไม่เอาพีธีการ หรืองานอะไรทั้งสิ้น เตรียมตัวให้พร้อม แล้วพอถึงวันก็กราบลาพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วก็เข้าวัด บวชเลย ยายก็รู้สึกดีใจตามประสาคนแก่ ที่มีหลานชายแค่สองคนคือผมกับน้องชาย แต่ยังไม่มีใครบวชให้เลย แล้วลูกทั้งหมดก็เป็นลูกสาวทั้งเจ็ดคน ยายเป็นคนชอบทำบุญอยู่แล้วแต่ท่านจะทำบุญเพื่อไปสวรรค์ แล้วก็ทำทานเพื่อเอาไว้กินไว้ใช้ชาติหน้าอย่างเดียว ถึงแม้จะไม่ใช่แก่นของพระพุทธศานา แต่ก็เป็นทางบวก เราก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าดีแล้ว

หลังจากยายออกเดินทางไปกรุงเทพ ฯ ก็เลยเข้าไปกราบสวัสดีแม่ ได้คุยกันพอสมควร เราได้ให้หนังสือ ประทีปส่องธรรม กับ วิถีแห่งความรู้แจ้งแก่แม่เข้าใจว่าคงจะเป็นประโยชน์อยู่ตามสมควรเพราะแม่เป็นคนที่ศึกษาธรรมะมาเยอะเหมือนกัน แต่ คนละประเภทกับยาย คือแม่จะเข้าใจตามเหตุตามผล เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา แต่ว่าอยู่ในระดับสัญญาเท่านั้น แต่แค่นี้ก็ดีมากแล้ว พอคุยเรื่องบวชกับแม่ แม่ถามว่า บวชแล้วจะไม่ไปเลยรึ เพราะใจมันมาทางนี้เยอะแล้ว นี่แสดงว่าแม่รู้ใจเราทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยเล่าเรื่องการปฏิบัติอะไรต่าง ๆ ให้แม่ฟังเลยแม้แต่น้อย เราก็ตอบว่าจริง ๆ ก็อยากจะลองอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันติดปัญหาเรื่องเป็นหนี้ รัฐบาล ตอนกู้มาเรียนต่อปริญญาตรี ต้องออกมาใช้หนี้ก่อน ถ้าใช้หนี้หมดแล้วก็ว่ากันอีกที คุยกับแม่เรื่องชีวิตของมนุษย์ แม่ก็มีความคิดเห็นเดียวกับเราคือ ชีวิตมนุษย์เกิดมาดิ้นรนแทบตาย แล้วก็แก่ เสร็จแล้วก็จะตายทิ้งกันไปเฉย ๆ ยิ่งมองเห็น ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วยิ่งเห็นชัดเจน ส่วนแม่นั้นก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะอายุก็เยอะแล้ว ความลำบากในชีวิตที่ผ่านมามันไม่มีอะไรเลย แล้วซักพักเดี๋ยวก็จะตาย ไม่มีอะไรเหลือ เราก็เลยแนะนำให้แม่อ่านหนังสือแล้วก็ปฏิบัติ บอกแม่ว่าอายุแม่ก็เยอะแล้ว ไม่ต้องรออะไรแล้ว แม่ก็รู้สึกจะเห็นด้วย

ย้ำคิด : จิตใจดวงนี้ทำร้ายตัวเองด้วยการย้ำคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์บ่อย ๆ

Saturday, October 02, 2004

วันที่ 21 ซื้อบาตรให้พ่อ

ตื่นตีห้าลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แล้วก็เดินออกไปเล่นข้างนอก บรรยากาศบ้านนอกนี่มันสดชื่นดีจริง ๆ เดินไปจนสุดถนนในหมู่บ้านแล้วก็เดินกลับพร้อมทั้งระลึกลมหายใจไปด้วย รู้สึกดีกว่าเดินวนไปวนมาในห้องมืด ๆ เยอะ พอสายหน่อยก็เลยออกเดินทางเข้าไปจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร เอาเงินที่พ่อให้มาตอนไปสมุยไปซื้อบาตรได้บาตรขนาดแปดนิ้วหนึ่งลูกเพราะอยากให้พ่อได้กุศลในการบวชด้วย แล้วก็ไปซื้อของเพื่อไปถวายสังฆทาน

ขับรถไปถึงวัดประมาณเที่ยง รู้ลมหายใจและความคิดไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง พอไปถึงก็กราบหลวงตาแล้วถวายสังฆทาน พร้อมทั้งถวายหนังสือประทีปส่องธรรม แล้วก็ฝากบาตรไว้กับหลวงตา หลังจากนั้นก็คุยกันนานประมาณสามชั่วโมง หลายเรื่องมาก ประเด็นหลัก ๆ ก็จะเป็นประวัติการปฏิบัติของท่าน และของครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เจอ เช่น ผี เทวดา การมาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นป่าช้า ท่านมารื้อป่าช้าอยู่ เจอเรื่องราวพอสมควร ก็เลยถามท่านเรื่องอสุภกรรมฐาน ได้วิธีการปฏิบัติมาพอสมควร แต่ท่านแนะนำให้ลองทำไปทีละอย่างอย่าง อย่าทำสเปะสะปะ ท่านแนะนำว่าถ้าหากนั่งสมาธิแล้วได้กลิ่นหอม เหมือนดอกมะลิแล้วมีเสียงคุยกันหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ เบา ๆ แสดงว่าเป็นเทวดาหรือนางฟ้าท่านอยู่แถวนั้น แต่ถ้าเป็นกลิ่นสาปเหม็นเน่าแสดงว่ามีการตายหรือฆ่ากันตาย หรืออะไรซักอย่างอยู่แถวนั้น ท่านบอกว่าให้จุดธูปบอก ก็เลยถามท่านว่าไม่ให้หนีหรอกหรือ ท่านบอกว่าไม่ให้หนีให้จุดธูปแล้วแผ่เมตตา แล้วท่านก็กำหนดวันบวชให้ คือให้บวชวันที่ 5 ธันวาคม 2547 ซึ่งตรงกับวันพ่อพอดี แล้วก็คุยเรื่องจริต หลวงตาท่านบอกว่าเท่าที่ฟังมาเราน่าจะเป็นประเภทศรัทธาจริต ก็น่าจะตรงอยู่มากที่เดียว

Friday, October 01, 2004

วันที่ 20 กิเลสยังหนาอยู่มาก

ตื่นเกือบทั้งคืน เพราะดันนอนเร็วไปหน่อย จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจนอนหรอก อ่านหนังสือธรรมะเสร็จ ว่าจะทำสมาธิ แล้วก็หลับไปเลย ตื่นมาก็ต้องนอนต่อเพราะมันดึกอยู่มาก จนกระทั่งตีห้าครึ่งก็เลยลุกขึ้นมา นั่งสมาธิ วันนี้ตามรู้ลมหายใจได้ค่อนข้างดีตั่งแต่ตื่น จนกระทั่งเดินทางมาถึงโต๊ะทำงาน อาจจะมีสลับกับการรู้กายส่วนอื่นบ้างเล็กน้อย แต่ก็จะกลับมารู้ลมหายใจเหมือนเดิม

ตั้งใจอยากจะให้พี่คนนึงที่อยู่แผนกเดียวกันฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ก็เลยเดินไปถามว่าเขาเคยอ่าน ประวัติหลวงปู่มั่นหรือเปล่า เขาตอบว่าอ่านจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่รู้ว่าเขาตอบด้วยความมานะหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่าตัวเองรู้สึกเป็นลบขึ้นมา ก็เลยถามต่อว่าเคยฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่นที่เพลินพรมแดนร้องหรือเปล่า เขาตอบว่าไม่เคยฟังแล้วก็ไม่คิดจะฟังด้วย ความรู้สึกของเราเกิดเป็นลบกว่าเดิมอีก เอหรือว่าเราเจ้ากี้เจ้าการยัดเยียดบางอย่างให้เขามากเกินไป ก็เลยบอกเขาไปว่าไม่ได้เอาให้พี่เขาฟัง ให้เอาไปให้คนแก่ เด็ก หรือคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือฟัง จะเป็นการดี เขาก็เลยสนใจก็คิดว่าเขาคงจะเอาไปให้แม่หรือลูกฟัง แต่ความรู้สึกที่เป็นลบนิด ๆ ที่ติดอยู่ในใจมันเกิดขึ้น แล้ว ตอนที่มันเกิดขึ้นเราเห็นทันที จริง ๆ ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องรู้สึกลบ เพราะเราให้สิ่งที่ดี ถ้าเขาไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นเพราะจิตตัวนี้มันโง่นั่นเองไม่มีอะไรมาก เป็นเครื่องมือวัดอย่างหนึ่งว่ากิเลสเรายังมีอีกเยอะ

ออกเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ด ไปพักที่บ้านแฟน ระหว่างที่เดินทางมีสติรู้ลมหายใจ กับตามรู้ความคิด กับตามรู้กายในการขับรถอยู่เป็นระยะ ตลอดทาง ไปถึงร้อยเอ็ดเข้านอน

Thursday, September 30, 2004

วันที่ 19 อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

ลุกตอนหกโมงเช้าเพราะเพลีย เข้านอนดึกไปหน่อย ผิดเวลา ถ้าหากนอนผิดเวลาก็ทำให้การตื่นมีปัญหาเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลกันหมดไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ

เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าพระท่านที่บวชนาน ๆ ท่านสามารถควบคุมความกำหนัดทางเพศได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจแล้ว ความกำหนัดทางเพศมันจะมีเกิดขึ้นเป็นระยะ เป็นธรรมดา โดยปกติเมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะตอบสนองมันด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม แล้วพอมันได้มันก็ได้ใจมันก็จะเกิดความอยากขึ้นอีก แล้วมันก็จะได้อีก แล้วมันก็จะไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จะหานั่นหานี่มาเพิ่มเติมเรื่อย ๆ หารูปโป๊มาดู หาหนังสือโป๊มาอ่าน แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งเสริมกันไปเรื่อย ๆ กิเลสมันก็ส่งเสริมกิเลสด้วยกันเอง ธรรม ก็ส่งเสริมธรรมเช่นเดียวกัน พอเกิดความอยากขึ้นมา ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปตอบสนองความอยาก ให้ดูความอยากที่เกิดขึ้นสักพักมันก็จะหายไปเองตามกฏของไตรลักษณ์ แล้วปัจจัยแวดล้อมที่ส่งเสริมมันเช่นรูปภาพวีดีโอ หรือหนังสือ สิ่งเหล่านี้เราจะได้ใช้มันก็เมื่อมันมีความอยากนี่แหละ พออยากดูก็ไปเปิดดู ไปหาดู พอดูแล้วก็เป็นปัจจัยให้อยากอย่างอื่นอีก พอเรานั่งดูความอยากแล้วไม่ตอบสนองความอยาก มันก็ลดลงแล้วก็หายไปเอง พวกหนังสือ วีดีโอ อะไรต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เอาทิ้งได้เลยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป พอทำไปสักระยะความอยากจะเกิดขึ้นน้อยมากแทบจะไม่เกิดเลย ถึงแม้เกิดก็จะดับไปอย่างรวดเร็ว หมดปัญหาสำหรับเรื่องนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วอสุจิที่ร่างกายผลิตขึ้นมาตามธรรมชาติละ มันจะไปอยู่ไหน ช่วงแรก ๆ มันก็ฝันหรือที่เรียกว่าฝันเปียกนั่นแหละ ประมาณสองสามสัปดาห์มันก็จะฝันทีนึง ก็จะฝันว่าได้มีอะไรกับคนที่ใกล้ชิดอาจจะเป็นแฟน คนรู้จัก หรือคนอื่น ๆ ที่ใกล้ชิด บางครั้งอาจจะเป็นญาติพี่น้องด้วยซ้ำ อันนี้ไม่ต้องกังวลเพราะมันเป็นความฝัน พระพุทธเจ้าท่านว่ามันไม่ผิดเพราะช่วงที่ฝันเป็นช่วงที่เหนือการควบคุมของสติ แต่พออยู่ไปสักระยะ ความฝันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น แม้แต่ความผิดที่จะทำในฝันยังไม่ค่อยจะมีเลย ส่วนเรื่องการฝันที่เป็นเรื่องเป็นราวมันก็จะไม่ฝันแล้ว ตอนตื่นนอนค่อยรู้ตัวว่าอสุจิมันเคลื่อนออกมาแล้วโดยที่ไม่ได้ฝันเลย หรือมันอาจจะฝันแต่เราไม่ได้รับรู้ก็ได้ เอาเป็นว่าเราไม่รู้ก็แล้วกัน

วันนี้จะฝากหนังสือและแผ่น CD ประวัติหลวงปู่มั่น ไปกับพี่ปิ่นไปให้พี่รัตน์ ก็เลยลองเปิดฟังอีกรอบ เกิดกำลังใจขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่ใจตกต่ำมาสองสามวัน ถ้าเกิดจิตใจเกิดหลงทางลงเหว ให้กลับมาฟัง CD ประวัติหลวงปู่มั่น จะได้กลับเข้าถูกทาง และความทุกข์ก็จะเบาบางลงไปในตัว

ได้เจอกับพี่ปิ่นครั้งแรกก็ดีใจที่ได้เจอเพื่อนร่วมทางธรรมอีกคนพี่เขาเอาหนังสือมาให้หลังจากที่สั่งพิมพ์ไปแล้ว และพี่เขาก็มาเป็นพธีกรให้การบรรยายของอาจารย์กำพลในหัวข้อ จิตสดใส แม้กายพิการ

นั่งฟังอาจารย์กำพล พูดได้ข้อคิดตามสมควร เนื้อหาส่วนใหญ่เราเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ปฏิบัติไม่ได้ถึงท่าน ท่านทำได้ไปไกลแล้ว

เบาบาง : จิตใจเวลามันจะเบามันก็เบาของมันเอง เราบังคับมันไม่ได้ แต่เราทำเหตุให้มันมีผลอย่างนั้นได้

Wednesday, September 29, 2004

วันที่ 18 จิตดิ้นพรวดพราด

ตื่นนอนตีห้าเดินจงกรมตามปกติ แล้วก็ลงมาอาบน้ำไปทำงาน สติยังตามไม่ค่อยทันเท่าไรนัก กิเลสยังมีกำลังอยู่มาก อินเตอร์เน็ตที่ห้องสามารถเล่นได้แล้ว ต่อไปศีลของเราคงบริสุทธิ์ ขึ้นอีกขั้นคือการใช้ทรัพยากร ของบริษัทเราถือว่าเป็นการเอาเปรียบบริษัท ถือเป็นการลักทรัพย์อย่างหนึ่ง แต่ก็มีความจำเป็นต้องใช้เรียนภาษาอังกฤษ และดูเว็บธรรมะ สองอย่างนี้เป็นหลัก อย่างอื่นเลิกหมดแล้ว ที่ผ่านมานั่งใช้ที่บริษัทรู้สึกกังวลและรู้สึกผิดมาระยะนึงแล้ว พอต่อโทรศัพท์ได้ ก็เลยซื้อชั่วโมงอินเตอร์เน็ตมาใช้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณห้าร้อยบาท ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความดีที่ได้ เมื่อเทียบกับจิตใจที่ได้ขัดเกลาให้บริสุทธิ์ เราต้องระลึกไว้เสมอว่า เล็กน้อยก็ไม่ควรจะผิด

ของที่เคยหยิบติดไม้ติดมือจากบริษัทกลับไปใช้เช่นสายแพรของคอมพิวเตอร์ บังเอิญไปค้นเจอคือ เคยถือไปว่าจะเอาไปต่อวงจรเพื่อเขียนโปรแกรมทดสอบฮาร์ดแวร์ ก็ได้ถือมาคืนไว้ที่บริษัทหมด ต่อนี้ไปของอะไรเล็กน้อยแค่ใหนก็จะไม่หยิบไม่เอามาทำประโยชน์ส่วนตนเด็ดขาด ของที่เคยมีอยู่เช่นโปรโตบอร์ดที่มีอยู่เป็นของมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้คืนตั้งแต่ทำชุมนุมอิเล็กทรอนิกส์ (แต่ก่อนไม่ได้ใส่ใจรายระเอียดมากนัก) ก็จะเอาไปคืนให้หมด เสียเงินเท่าไรก็ยอม แต่จะไม่ยอมศีลขาดอีกต่อไป ต้องเด็ดเดี่ยว

ตอนนี้โปรแกรมที่ใช้งานอยู่บนเครื่องถ้าอันไหนเป็นของเถื่อนจะลบทิ้งให้หมดและก็จะไม่ใช้ ถ้าอันไหนจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็ต้องซื้อแพงก็ต้องซื้อเพราะมันถูกต้อง ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น อีกเรื่องนึงคือรูปโป๊ที่มีอยู่เต็มเครื่องจะลบทิ้งให้หมด ขอให้เจอ จะลบทิ้งให้หมด เปลืองทั้งพื้นที่ มิหนำซ้ำยังเป็นตัวส่งเสริมกิเลสด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เคยหวงแหนอยากเก็บมันไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีความเสียดายเลย ลบทิ้งได้อย่างสบาย

จิตดิ้นพรวดพราด : จิตนี้เวลาโดนกิเลสเล่นงานแล้วมันดิ้นพรวดพราดน่าดูชม

Tuesday, September 28, 2004

วันที่ 17 ความทุกข์ชัด ๆ

ตื่นตีห้ามาเดินจงกรมทำสามาธิตามปกติ วันนี้สติก็ผลุบ ๆ ตอนเช้ามีการประชุมเพื่อแจ้งให้ทราบการเปลี่ยนหัวหน้าระดับบนใหม่ สำหรับเราแล้วคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก
ความทุกข์ชัด ๆ : ชีวิตนี้มันทุกข์ชัด ๆ

Monday, September 27, 2004

วันที่ 16 แก้ปัญหา

ไม่ได้ตื่นตีห้าเหมือนปกติ เพราะค่อนข้างเพลียจากการเดินทาง สติก็มีผลุบ ๆ โผล่ ๆ เดินทางมาถึงที่ทำงานมาดูงานที่มีปัญหา รู้สึกว่าจะกู้ข้อมูลที่หายไปคืนมาไม่ได้แล้ว ของเราเองไม่เป็นไรเพราะมีแบ็คอัพอยู่พอสมควรแต่ของคนอื่นนิ่สิหายเกลี้ยงเลย หัวหน้าพยายามโทรมาตามเพื่อหาวิธีแก้เพราะเขาคงจะโดนแผนกอื่นเล่นงานหนักเหมือนกัน ส่วนตัวเราเองยอมรับสภาพเพราะเราเองเป็นคนทำมันพังกับมือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าข้อมูลหรือสิ่งต่าง ๆ เลวร้ายมันค่อนข้างนิ่ง แต่ความทุกข์เล็ก ๆ เกิดขึ้นช่วงที่หัวหน้าเขาพยายามที่จะแก้ไขแล้วเราก็รู้สึกชัดเจนแล้วว่าข้อมูลมันเอามาคืนไม่ได้แล้ว แต่เป็นอย่างนั้นอยู่ไม่กี่ชั่วโมงความรู้สึกนั้นก็หายไป

Sunday, September 26, 2004

วันที่ 15 มนุษย์โลก

นอนหลับไปพักนึงแล้วก็ตื่นขึ้นมาขับรถสลับกันกับพ่อขับรถจนถึงเช้าช่วงขับรถอยู่ง่วงบ้างก็จอดปั๊มน้ำมันยืดเส้นยืดสาย บางทีก็ฝืนขับต่อเป็นความลำบากมาก เห็นรถราบนถนนวิ่งกันก็เกิดสลดสังเวชชีวิตมนุษย์ทำไมเกิดมาต้องลำบากกันขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็ตายทิ้งไปเฉย ๆ ยิ่งพอเข้ามาในตัวกรุงเทพยิ่งเห็นได้ชัดเจนคนเรานี่มันดิ้นรน แล้วก็วุ่นวายกันเสียจริง ๆ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แล้วดิ้นรนกันไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ พอตายแล้วก็ทิ้งทุกอย่างไว้ สิ่งที่ดิ้นรนทำไป โมฆะหมด สิ่งที่ควรทำคือขัดเกลาจิตใจกลับไม่ค่อยทำกัน ทำแต่สิ่งที่ซักวันเราจะทิ้งมันไป ขากลับแวะเข้ามาที่บริษัทเพื่อแก้ไขงานที่มีปัญหาอยู่ปรากฏว่าแก้ไขงานไม่ได้ก็เลยกลับบ้านไปนอนเพราะเพลียมาก

Friday, September 24, 2004

วันที่ 13 ทำงานพลาด

รู้สึกตัวก่อนตีห้าแต่ไม่ยอมลุกเพราะคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาก็เลยนอนต่อ ซักพักก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั่งไว้ แล้วลุกขึ้นมาล้างหน้าขึ้นไปเดินจงกรม
ตอนเย็นกำลังจะออกเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยรถบริษัทเพื่อไปส่งน้องสาวที่สมุยมีโทรศัพท์จากพี่ที่ทำงานเข้ามาแจ้งว่ามีปัญหาใหญ่คือระบบฐานข้อมูลที่ทำไว้เกิดการเสียหาย แล้วก็มานึกได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเราเองที่ทำบางอย่างพลาดไปเมื่อตอนบ่าย แต่ตอนนั้นยังแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะอยู่บนรถแล้ว แต่มีลางสังหรณ์ว่าไม่น่าจะหนักมาก ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลหายอาจจะทั้งระบบเลยก็ได้ นั่งรถไปจิตใจก็พยายามเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วจะแก้อย่างไร แต่สังเกตุเห็นอย่างหนึ่งคือจิตมันไม่ยอมเอาตัวเองไปผสมกับความกังวล มองเห็นจิตกับความกังวลอยู่คนละส่วนกัน มันคิดว่าเดี๋ยวเดินทางไปถึงเทพรักษ์ก่อนแล้วค่อยไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็แก้ไปตามที่ทำได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนมีหวังกังวลมากแล้วก็จะคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ พอเดินทางไปถึงเทพารักษ์ก็เข้าไปดูงานที่นั่นสามารถกู้ข้อมูลได้ประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้แก้เพิ่มเติมก็เลยพอไว้ก่อนให้โปรแกรมพอทำงานไปได้ก่อนเพราะพ่อกับน้องสาวเอาของขึ้นรถรอนานพอสมควรแล้วก็เลยออกไป คิดว่าไปสมุยกลับมาก่อนแล้วค่อยมาจัดการกันต่อ แล้วก็ออกไปเจอกับน้องสาวและพ่อ เห็นหน้าน้องสาวแล้วเกิดความคิดขึ้นว่านี่ขนาดน้องสาวเราเห็นมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ดูตอนนี้ก็ดูแก่เสียแล้วเวลามันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน พอหันไปมองหน้าพ่อยิ่งเกิดความ สงสารเป็นอย่างยิ่งเกิดมาอายุห้าสิบกว่าแล้วยังดิ้นรนไม่หยุด ยังจะดิ้นรนต่อไปอีก หาความทุกข์อยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้เลยว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยเต็มที เห็นแล้วก็สลดใจทั้งสองคน แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ รอไว้ให้ตัวเองขึ้นฝั่งได้ก่อนแล้วจะได้ช่วยเหลือสองคนนี้กันต่อไป

Thursday, September 23, 2004

วันที่ 12 จิตร้องเพลง

ตื่นขึ้นมาตีห้าตรง แต่โดนกิเลสมันหลอกล่อ มันบอกว่าขอเอาหัววางบนหมอนอีกหน่อยไม่หลับหรอกเดี๋ยวหายง่วงค่อยลุก ไม่นานหรอกเดี๋ยวค่อยลุก ปรากฏว่าหลับไปเลย รู้สึกตัวเกือบตีห้าครึ่ง ก็เลยขึ้นไปเดินจงกรม เดินไปเดินมาไม่ค่อยดี ก็เลยนั่งสมาธิ พอนั่ง ๆ ไปรู้สึกอยากเอน ก็เลยเอนหลังนิดนึงไปพิงกำแพง พอพิงไปสักพักนึง มันก็เลยนอน นอนลงบนทางเดินจงกรมนั่นแหละ แล้วก็หลับ.... ตื่นมาอีกที หกโมงสิบนาทีเพราะตั้งโทรศัพท์เตือนไว้จะได้ไม่เกินเวลาเดี๋ยวไปทำงานสาย เป็นแบบนี้มาหลายทีแล้ว ถ้าเราเริ่มต้นไม่ดี สิ่งที่ตามมาจะดูแย่ ๆ ไปหมด แล้วการนั่งสมาธิ ถ้าง่วงนอนอยู่อย่าเอนหลังพิงสิ่งใดเด็ดขาดเพราะมันจะหลับ
ตอนเย็นได้คุยกับหัวหน้าเรื่องการลาบวช หัวหน้าไม่ว่าอะไร และเต็มใจให้ลาสองเดือนตามที่ตั้งใจไว้ หัวหน้าพยายามจะให้ลาแบบไม่หักเงินคือหาวันลาและใช้สิทธิการลาพักร้อนของเรา ซึ่งจะไม่โดนบริษัทหักเงิน สำหรับเราแล้วจะหักก็ไม่เป็นไรเป็นสิ่งที่สมควรแล้วเพราะไม่ได้ทำงาน บริษัทไม่ให้เงินก็ไม่แปลก แต่สิ่งสำคัญคือการจะได้บวช พอรู้วันแน่นอนว่าจะได้บวชแล้วรู้สึกว่าใจมันตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะลาช่วงนี้แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน แต่พอรู้วันแน่นอนขึ้นมารู้สึกดีใจมีกำลังใจแบบบอกไม่ถูก ดูปฏิทินคร่าว ๆ แล้วจะเริ่มลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2547 และมาทำงานอีกทีวันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 ถ้าหากเราเตรียมตัวดี เราอาจจะได้บวชวันที่ 5 ธันวาคม 2547 เพราะเป็นวันอาทิตย์ ส่วนวันเสาร์เอาไว้เดินทางเก็บข้าวของไปวัด ก่อนหน้านั้นคงต้องเดินทางไปวัดบ่อย ๆ เพื่อที่จะไปซักซ้อมพิธีบวชให้คล่องถึงวันจริงจะได้บวชเลย
ก่อนกลับบ้านนั่งเรียนภาษาอังกฤษผ่านเว็บอยู่ พอเรียนใกล้จะเสร็จก็เลยเปิดดูเมลล์ซึ่งเป็นปกติที่เพื่อน ๆ จะส่งรูปโป๊มาให้ตามธรรมเนียมของเด็กยุคสองพัน ก่อนหน้านี้เราดูประจำแหละ แต่มาช่วงหลังเลิกดูก็ปล่อยมันทิ้งไว้ วันนี้เปิดเข้าไปดูก็เห็นเยอะพอสมควร เกิดข้อโต้แย้งระหว่างจิตกับจิตว่าจะทำตามอำนาจกิเลสตัวที่อยากให้เปิดหรือเปล่า ตอนคลิกล็อกอินเข้าไปถ้าให้ดูจิตตอนนั้นอาการคือแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องเปิด พอไปอยู่ตรงเมลล์บ็อกกิเลสก็ยังมีเสียงข้างมากอยู่ขณะที่กำลังจะแพ้กิเลสอยู่มะรอมมะร่อ จิตก็เกิดพลิกคำให้การ เปลี่ยนท่าทีขึ้นมาคลิกลบไปทันที พอไปเห็นอยู่ในถังขยะต้องตามไปลบอีกที กิเลสเหลือกำลังอยู่ไม่มากประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ เกิดนึกเสียดายอยากจะคลิกเปิดขึ้นมาดู นี่ตรงนี้โอ กาสที่มันจะพลิกมาชนะก็เป็นไปได้ แต่โชคดี สุดท้ายจิตก็สั่งให้คลิกลบทิ้งไปให้หมดเลย พอลบไปแล้วก็จบไม่เห็นมีอะไรไม่ได้เป็นทุกข์รู้สึกว่าเป็นสุขด้วยซ้ำที่เอาชนะกิเลสได้ แต่ถ้าเราดันพลาดนะพอนั่งดูก็จะดูไปจดหมด สุดท้ายพอดูเสร็จก็จะเกิดอาการเศร้าหมองตามมาอีกหลายชั่วโมง เนื่องจากกิเลสมันชนะ แล้วมันก็นั่งหัวเราะเยาะเรา แต่วันนี้เราชนะมันแล้วถึงแม้จะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ แต่ก็เป็นกำลังใจในการรบครั้งต่อไป ช่วงหัวค่ำจู่ ๆ จิตก็ร้องเพลง เพลงหนึ่งขึ้นมา เผอิญว่าเราเห็นพอเห็นปุ๊บมันก็หยุดลงทันทีแล้วก็นิ่ง ไม่นานก็ร้องเพลงเดิมอีก พอร้องอีกนิดนึงก็เห็นอีกก็หายอีก ทุกครั้งที่รู้จิตจะหยุด แต่ถ้าไม่รู้ก็คงไม่หยุดคงจะร้องไปจนหมดเหตุ แต่สถานะนี้จำไม่ได้เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีตัวรู้ เท่าที่เห็น เพลงที่เริ่มร้องจะร้องที่ประโยคเดิมตำแหน่งเดิม แล้วบ่อยมาก เกิดขึ้นเป็นระยะ ห้ามไม่ได้กำหนดไม่ได้ แต่ถ้ารู้ปุ๊บหยุดทันที ช่วงระหว่างนั้นก็จะมีเรื่องอื่นปน ๆ ผสมกันเข้ามาผลัดกันเข้ามาพอเห็นปุ๊บก็หายไป แต่เพลงจะมาบ่อยกว่าอย่างอื่น คิดว่านี่คือลักษณะการตามดูจิต แต่เป็นอย่างนี้อยู่ได้ไม่นานประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงก็หายไปเลย เพลงนั้นหายไป มีอารมณ์เศร้าหมองเพราะแฟน เข้ามาแทน คือเห็นเขาเศร้ามาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ยังไม่หาย เราก็เห็นใจ แต่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ดีหน่อยก็ตรงที่เรารู้ว่าเรากำลังโดนกิเลสเล่นงาน แต่แฟนเราไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนกิเลสเล่นงาน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจมอยู่ใต้ทะเลกิเลส คิดแต่ว่ามันเป็นเพราะเรา เราเป็นสาเหตุ แล้วก็ฟุ้งซ่าน ยิ่งเราไม่พูดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเราพูดก็จะกลายเป็นการเริ่มเรื่อง ๆ ใหม่ เราพยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง ถ้าเราขึ้นฝั่งได้เราคงมีกำลังพอที่จะมาช่วยแนะนำให้เขาขึ้นตามไป แต่จะให้แนะนำตอนนี้เลยไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าตัวเองว่ายไปถูกทางหรือเปล่า เราไม่รู่ด้วยซ้ำว่าเรากำลังว่ายออกจากฝั่งหรือว่ากำลังว่ายเข้าฝั่ง คงต้งอรอให้เราขึ้นไปยืนบนฝั่ง หรือไม่ก็เห็นฝั่งชัดเจนก่อนจึงจะพอแนะนำได้ ตอนนี้เราโผล่ขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแล้ว กำลังว่ายไป แต่เขายังจมอยู่ใต้น้ำ ไอ้เราถ้าจะช่วยตอนนี้อาจจมน้ำตายทั้งคู่ ต้องไปให้ถึงฝั่งก่อนแล้วคอยพายเรือกลับมาแนะนำวิธีและทิศทางการว่ายให้พ้นจากทะเลกิเลสเพราะทะเลแห่งนี้ต้องว่ายด้วยกำลังของตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถว่ายแทนกันได้ สักวันเขาคงเข้าใจเรา

Wednesday, September 22, 2004

วันที่ 11 ดวงจิต

ตื่นตีห้าเป็นวันที่สอง ล้างหน้าขึ้นไปเดินจงกรม พอรู้สึกว่าไม่สงบ รู้สึกว่าเหนื่อย หรือรู้สึกว่าง่วง ก็จะเปลี่ยนอิริยาบถ ระหว่างเดิน นั่ง ยืน สลับไปมาจนกระทั่งหกโมง สิบนาทีลงมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน พยายามเอาสติตามรู้ตลอดทุกอิริยาบถ
วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของแฟนผม ผมซื้อของขวัญให้ตามปกติ แต่ดูแล้วแฟนผมไม่ค่อยพอใจเท่าไร แล้วก็เกิดอาการเศร้าหมองของจิตขึ้นมา เห็นแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง นั่งเศร้าน้ำตาไหล ไม่พูดไม่จา ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาคงคาดหวังไว้เยอะ ว่าจะได้นั่นได้นี่พอไม่ได้ก็เกิดผลตามมาทันที เห็นแล้วคิดถึงคำของหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า มนุษย์โลก รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน น่าสงสารมาก เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส แล้วไอ้กิเลสนี่มันโหดร้ายมาก มันทำร้ายดวงจิตอันบริสุทธิ์ ให้เจ็บช้ำเป็นทุกข์มาไม่รู้เท่าไหร่ เราต้องทำทุกอย่างตามบัญชาของกิเลส แล้วมันยังทำร้ายเราอีก มันโหดร้ายจริง ๆ นั่งดูแฟนเศร้าหมองและเป็นทุกข์แล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะที่ผ่านมาพูดไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม เห็นแล้วก็สงสารเป็นอย่างมาก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะขนาดตัวเองก็ยังเอาไม่รอด โดนกิเลสมันเหยียบย่ำหัวจิตหัวใจอยู่ทุกวี่ทุกวัน หลวงตาท่านบอกว่าจิตของเราเป็นของดี วิเศษและสวยงามมากแต่ด้วยอำนาจของกิเลสทำให้มันเศร้าหมองและเป็นทุกข์ ถ้าหากเราจะทำร้ายทำลายใครให้ระวังไว้ให้มาก เพราะทุก ๆ คนมีดวงจิตนี้ เพียงแต่ว่ากิเลสมันครอบงำจิตอยู่เขาจึงทำไปอย่างนั้น การไปทำร้ายทำลายดวงจิตที่ดีนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน มด แมงตัวเล็ก ๆ ก็มีดวงจิตอันวิเศษนี้เหมือนกัน

Tuesday, September 21, 2004

วันที่ 10 ความเพียร

โทรศัพท์มือถือดังตีห้า เพราะตั้งปลุกไว้ ร่างกายไม่อยากลุกเพราะทุกวันตื่นหกโมง เช้า แต่จิตบอกว่าต้องลุก ก็เลยลุกขึ้นนั่งสลึมสลืออยู่ประมาณ 10 นาที แล้วก็ไปล้างหน้า ขึ้นไปเดินจงกรมห้องข้างบนชั้นเจ็ด ซึ่งเป็นห้องที่ญี่ปุ่นซื้อเหมาไว้ทั้งชั้นจึงไม่มีคนอยู่เกือบทั้งชั้น ก่อนหน้านั้นได้ขึ้นไปถูทำความสะอาดไว้เป็นห้องสำหรับภาวนา เป็นชั้นที่เงียบมากเพราะแทบไม่มีคนอยู่เลย ปกติเดินจงกรมจะเอาสติไปรู้สัมผัสระหว่างฝ่าเท้ากับพื้น ซึ่งก็เห็นชัดดี แต่วันนี้เห็นละเอียดขึ้นมาอีกหน่อยว่ามันเป็นความเย็น แล้วก็ได้ลองเอาสติไปรู้ที่ใหม่คือ ช่วงจังหวะการงเข่าตอนก้าวเดิน ตั้งแต่หัวเข่าลงไปถึงข้อท้าว และข้อต่อตรงนิ้ว อันนี้ก็เห็นชัดเจนดี เหมือนกัน เวลาเดินจงกรม ถ้าเห็นอย่างหนึ่งอีกอย่างจะหายไป คือถ้าเห็นลมหายใจ จะไม่เห็นฝ่าเท้า และไม่เห็นขาช่วงล่าง ในทำนองเดียวกัน ถ้าเห็นอีกอันอันอื่น ๆ ก็หายไปหมด จิตมันรับรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้น แต่มันจะสลับไปมาเร็วมาก

Monday, September 20, 2004

วันที่ 9 เจรจากับกิเลส

ตื่นสายอีกแล้ว ลมหายใจก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ หายไปนาน โผล่มาแป็บเดียวก็หายไปอีก นั่งรถไปทำงาน อาการเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น พยายามหาจุดที่จะเป็นสมาธิ สุดท้ายได้ตรงปาก ระหว่างฟันกับฟัน คือพยายามให้มันขบกันแบบแตะกันพอดีอยู่ตลอดเวลา แต่พอเคลิ้มหลับไปมันก็อ้าปากออกทีละน้อย ๆ พอรู้สึกตัวก็ขบใหม่ พบว่าขณะง่วงนอนนี่ ควบคุมสติยากมาก

ก่อนหน้านี้พอตื่นขึ้นมาก็ประกาศสงครามกับกิเลสกันเลย อะไรที่เป็นกิเลสไม่ยอมมันอย่างเดียว แพ้บ้างชนะบ้าง ร้อยละ 90 แพ้ราบคาบ พอรบกับมันเจ็บตัวทุกที คำว่าเจ็บตัวคือเป็นทุกข์นั่นเอง เช่นจะทำบุญเยอะหน่อย ไอ้ความกิเลสความตระหนี่ มันก็ตะครุบมือไว้ มันบอกว่าเยอะเกินไปเดี๋ยวเงินไม่พอใช้นะ แนะ คราวนี้ถ้าเราฝืนทำ มันก็เกิดความทุกข์เล็ก ๆ ตะหงิด ๆ ตามมาเป็นระยะ แต่ถ้าเราไม่ทำเลย มันก็มีอีกฝ่ายนึงทำให้เป็นทุกข์ตะหงิด ๆ เกิดเหมือนกัน คือมันจะกังวลว่า น่าจะทำนา ไม่น่าเป็นคนเลวขนาดนี้เลย ทำบุญแค่นี้บอกเยอะ แล้วทีไปใช้อย่างอื่นไม่เห็นเคยบ่นซักแอะ แนะ ไม่ให้ก็เจอไอ้นี่เล่นงานอีก จะเอายังไงกันแน่ ไอ้ฝ่ายหลังนี่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าฝ่ายดีได้หรือเปล่า เพราะ ถ้ามันดีทำไมมันทำให้เกิดทุกข์ละ เป็นคนไม่ดีก็ทุกข์ เป็นคนดีก็ยังทุกข์อยู่ดี แต่เป็นคนดีทุกข์น้อยกว่าหน่อย ก็เลยหันหน้ามาคุยกัน ตอนบ่ายพี่ปิ่นส่งเมลล์มาเรื่องร่วมพิมพ์หนังสือ ต้นทุนเล่มละ 12 บาท ถ้าหนังสือดีจะพิมพ์ซักร้อยเล่ม แต่ไม่รู้รายละเอียดก็เลยว่าจะช่วยซัก 20 เล่มเป็นการทำบุญปกติ แต่ไอ้ตัวกิเลสมันบอกว่าเยอะไป ก็เลยคุยกับมัน มันบอกว่า 10 เล่มให้ได้ไม่ลำบาก ก็เลยทำตามมัน คิดดูขนาดทำบุญยังต้องฟังกิเลส แต่ทำแบบนี้ดีอย่าง คือทำแล้วสบายใจไม่เกิดความทุกข์ภายหลัง จิตใจเบิกบาน แต่เราก็ไม่ได้เจรจากันทุกเรื่องนะ เรื่องไหนตกลงกันไม่ได้ก็รบกัน ต่อไปว่าจะไม่เขียนไอ้ความคิดแบบนี้แล้วเพราะมันเยอะเกินไป แล้วก็เสียเวลาด้วย นั่งพิมพ์วันนึงเสียเวลาเป็นชั่วโมง เอาเวลาไปตามดูลมหายใจดีกว่า ซึ่งสิ่งที่พิมพ์ลงไปไม่มีอะไรมาก มีแต่ความฟุ้งซ่านอย่างเดียวเท่านั้น ต่อไปจะเน้นเฉพาะรายงานการตามลมหายใจเป็นหลักเท่านั้น

Sunday, September 19, 2004

วันที่ 8 ถอยหลัง

วันนี้ตื่นสายไม่ได้ไปทำบุญ(อีกแล้ว) ปรากฏว่าจิตขุ่นมัวเกือบทั้งวัน สติก็หาย ลมหายใจก็หาย กายก็หาย มีแต่ความฟุ้งซ่าน พอเจอลมหายใจหน่อย ก็เจอแบบกังวล ไม่เจอแบบมีความสุข ทำอะไรก็ไม่สมดังที่คิดไว้ไปหมด ไปติดต่อโทรศัพท์ ก็ไม่ได้เขาบอกว่าคู่สายอาจจะไม่ว่าง ไปซื้อเครื่องซักผ้า ก็มาส่งให้ไม่ได้ ไปซื้อ หนังดีวีดีว่าจะเอามาดู(วัตถุประสงค์หลักเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ) ก็ไม่ได้ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่สงบ เป็นวันที่แปลกมากวันนึง ขอเดาว่าเริ่มต้นวันด้วยความไม่ดี ด้วยกิเลส วันนั้นทั้งทำอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไปหมดเลย ครบรอบการปฏิบัติเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์พอดี เอาใหม่เริ่มต้นใหม่ก็ไม่เป็นไร นับหนึ่งอีกครั้ง

Saturday, September 18, 2004

วันที่ 7 กายคตาสติ

ก่อนตื่นนอนฝันเห็นหลวงตาบัว ฝันว่าได้ไปกราบหลวงตาบัว ในฝันนั้นได้เข้าไปกราบท่านต่อหน้าเลย และขณะกราบนั้นก็นึกในใจว่าตัวเองนี้ยังเลวอยู่ พอเท่านั้นแหละหลวงตาท่านบอกว่าไม่เลวหรอกถือว่าดีแล้ว พอได้ยินเท่านั้นใจมันมีความสุขขึ้นมาปลาบปลื้มแบบบอกไม่ถูก ที่เล่ามานี่ฝันนะ ไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใด แล้วหลวงตาท่านก็อยู่ของท่านไม่เคยได้เจอท่านเลย คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก ที่เราปารถนาไว้ว่าจะไปกราบท่านหลวงตาที่วัดป่าบ้านตาดแต่ติดนู่นติดนี่ไม่ได้ไปเสียที จิตมันไม่สมหวังเสียที มันก็เลยฝันเอา แปลกดี แต่ก็มีความสุข

แล้วก็รูสึกตัวตอนตีห้าครึ่ง โดยอัตโนมัติไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกและก็ไม่ได้บังคับมากนัก ก็เลยลุกขึ้นหุงข้าวกล้องแล้วมานั่งสมาธิ พอเจ็ดโมงก็ไปถวายภัตตาหารเช้าที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งเป็นปกติจะไปทุกวันหยุดหรือวันเสาร์อาทิตย์ แต่ไม่ได้ไปมาสองอาทิตย์แล้วด้วยกิเลสและเหตุบางประการ เวลาจะไปทำบุญนี่จะเห็นความตระหนี่ของตนนิด ๆ คือเวลาซื้อกับข้าวหรือซื้อของบางอย่าง ก็จะรู้สึกว่าทำไมมันแพงจัง บางทีก็คิดว่าซื้อไปเยอะท่านก็ไม่ได้ทาน เพราะมีคนถวายเยอะ นี่จิตมันคิดไปเองนะ บังคับมันไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เวลาใช้เงินอย่างอื่นนี่แหมไม่ได้คิดเลย เช่นเวลาไปกินอาหารตามร้านไม่ว่าจะไปกับเพื่อหรือกับแฟน มีแต่สั่งเลย บางครั้งสั่งมาเกินกินไม่หมด บางครั้งถ้ากินแค่อิ่มก็สั่งมาซักสองร้อยบาทก็พอ แต่ด้วยความตามใจ จากควรที่จะเป็นสองร้อยมันกลายเป็นสามร้อยสี่ร้อยไปจนได้ ถ้ารอบคอบหน่อยสั่งเท่าที่ควรแล้วเอาเงินส่วนเกินนี่มาทำบุญได้อีกโขเลย แต่โดยรวมแล้วจิตส่วนใหญ่ก็ยังดีอยู่มีบางครั้งเท่านั้นที่มันแว็บเข้ามาแบบนี้ ความกังวลที่เจออีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาซื้อของให้ตัวเองนี่เลือกแต่ของดี ๆ พอจะซื้อของไปถวายพระจะดูราคาไม่เอาแพงมากด้วยจิตมันคิดว่าทำบุญควรทำตามกำลังอย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่เวลาซื้อของให้ตัวเองนี่แหมเลือกจัง ต่อไปเอาใหม่ของที่จะนำไปถวายพระต้องให้เท่ากันหรือดีกว่าของที่เราใช้เอง ถ้าไม่ลดของตัวเองก็ต้องเพิ่มของที่ถวายกันละ สิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไรนักหรอกถือว่าดีมากแล้วเมื่อเทียบกับอดีตของตนเอง เพียงแต่ว่าอยากให้สิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่บริสุทธิเท่านั้นเอง ความเลวแม้เศษเสี้ยวธุลีหากเกิดขึ้นต้องแก้ไข ต้องเอาออกไปจะเข้ามาเจือปนไม่ได้ สิ่งใดที่ยังไม่รู้ก็ไม่เป็นไรแต่สิ่งใดที่รู้แล้วต้องแก้

บางคนไม่ค่อยได้ทำบุญเพราะบอกว่าไม่มีเงิน สำหรับผมแล้วเงินทำบุญมีอยู่เสมอถึงแม้จะไม่มากมายนัก เพราะผมได้เงินจากการปฏิบัติธรรมมาฟรี ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นวิธีการเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัตินิดหน่อยครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนเช้าไปทำงานปกติจะต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกไปหน้าปากซอย วันละสิบบาท ขากลับอีกสิบบาท รวมเป็นวันละยี่สิบบาท ไม่ถือว่าเยอะหรอกสำหรับรายได้อย่างผม แต่ผมไม่นั่ง ผมจะตื่นเช้าหน่อยแล้วก็เดินออกไป ตอนที่เดินออกไปก็ภาวนาไปด้วย ประมาณ 10 – 15 นาที ขากลับก็เดินกลับแล้วก็ภาวนาตอนเดินกลับประมาณ 10 นาที ผมได้เงินเก็บวันละยี่สิบบาท เดือนนึงผมได้เงินจากการเดินภาวนาเช้า 15 นาที บ่าย 10 นาที ทำงานประมาณ 22 วัน ผมได้เงินไปทำบุญเดือนละ 440 บาทจากการภาวนา เห็นไหมครับ ผมได้ภาวนาทุกวันก่อนและหลังทำงาน ผมได้ออกกำลังกายจากการเดิน แล้วผมยังได้เงินไปทำบุญอีกฟรี ๆ นี่เป็นตัวอย่างนะครับ จริง ๆ แล้วผมสามารถได้เงินลักษณะนี้จากการปฏิบัตธรรมอีกหลายอย่างเหมือนกัน เช่นเวลากินข้าวเช้ากับข้าวเที่ยงแทนที่จะกินคาบละ 20 – 30 บาท ผมก็กินคาบละ 10 บาท ไม่ได้ขี้เหนียวนะครับเพราะสำหรับร่างกายแล้วแค่นี้ก็เพียงพอ ที่กินมากกว่านี้มีแต่เกินเป็นโทษกับตัวเองทั้งนั้น ผมก็จะได้เงินอีกวันละ 30 บาท จากการปฏิบัติระหว่างกิน คือผมจะซื้ออาหารเหมือนปกติตามที่ต้องการนี่แหละครับแล้วก็นั่งพิจารณาไปด้วยกินไปด้วย พออิ่มเสร็จก็เดินขึ้นไปนั่งภาวนาก่อนทำงานตอนเที่ยง สรุปแล้วผมก็ได้เงินเพิ่มอีก เดือนละ 660 บาทจากการกินอาหารแต่พอเพียง ได้ปฏิบัติด้วย แถมยังไม่ต้องกลัวอ้วน แล้วสุขภาพก็ดีด้วย เห็นใหมครับว่าแค่ผมทำสองอย่างนี้ เดือนนึงผมมีเงินไปทำบุญฟรี ๆ เดือนละพันกว่าบาทแล้ว และถ้ารวมอย่างอื่นด้วย ได้เยอะกว่านี้อีกครับ เช่นเกิดอยากกินไอติมขึ้นมา พอห้ามความอยากได้ ก็เอาเงินมาสบทบกองทุนเพื่อทำบุญ มีเยอะแยะครับที่เกิดจากความอยากได้ของกิเลสแต่ไม่ได้จำเป็นจริง ๆ ได้ทั้งลดกำลังของกิเลส ได้ทั้งปฏิบัติธรรม ได้ทั้งเงินไปทำบุญ ได้ทั้งสุขภาพที่ดี เงินที่ไปทำบุญก็ช่วยขัดเกลากิเลสไปอีก แบ่งปันให้คนอื่นไปเรื่อย ๆ สุขภาพจิตก็ดีมีแต่ดีกับดีครับ แล้วถ้าจะเอาดีกันจริง ๆ ก็ต้องทำกันแบบนี้แหละ

วันนี้ได้อ่านกระทู้ของท่านอาจารย์ปราโมทย์ ซึ่งท่านเขียนไว้ตอนเป็นฆาราวาส ท่านได้กล่าวถึง กายคตาสติ จึงได้ลองเปิดพระไตรปิฎกดู อ่านอย่างตั้งใจจนจบสูตร พบว่าเป็นประโยชน์มาก ได้วิธีการปฏิบัตกายคตาสติ เกี่ยวกับการ เดิน ยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม ปัสวะ อุจจาระ เพิ่มมาอีก ดีมากครับ ถ้าใครจะเริ่มต้นปฏิบัติควรจะอ่านพระสูตรนี้ (กายคตาสติสูตร) นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้มากที่สุดในปัจจุบัน เพราะฉนั้นจึงน่าจะลองปฏิบัติตามดูว่าเป็นจริงอย่างที่เขียนไว้หรือเปล่า เป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่าง ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติ หายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือ ตัวเองยังไม่ถึงยังไม่เห็นอย่าไปเที่ยวสอนใครเขาดังเช่นที่ผ่านมาเด็ดขาด เพราะโอกาสผิดแล้วทำโทษแก่คนอื่นเป็นไปได้สูง ระวังไว้ให้มาก หรือไม่ก็อาจจะไปเจอคนที่เขาปฏิบัติดีกว่าเราอาจจะถึงพระอริยะแล้ว ถ้าดันทะลึ่งไปสอนมีหวัง นรกกินกบาล ถ้าท่านกรุณาช่วยชี้แนะก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าท่านนั่งฟังแล้ว ต้องมากราบมาไหว้เรา สมมุติเป็นช่วงที่เราบวชนะ นรกแน่นอน ให้นั่งดูจิตตัวเองดีกว่า ถ้าใครต้องการเรียนรู้จริง ๆ ให้ตัวเองถึงก่อน จะเมตตาเขาทีหลังก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวเองยังไม่ถึงนี่ห้าม ต้องห้ามจริง ๆ

การปฏิบัติวันนี้เห็นเป็นระยะตลอดทั้งวันใจค่อนข้างบวก คือมีความสุข เห็นลมหายใจ และกายอยู่เป็นระยะ แต่ไม่เห็นมันได้นานเลยลมหายใจนี่ได้ไม่ถึงสิบซักรอบ ช่วงนี้เห็นลมหายใจบ่อยและถี่ขึ้น แต่ปัญหาคืออยู่ไม่ได้นาน ต่อไปจะลองนับเอาให้ถึงสิบอย่างน้อย ไม่รู้จะดีขึ้นหรือเปล่า

Friday, September 17, 2004

วันที่ 6 อย่าเชื่อ

วันนี้ตื่นนอนมาด้วยอาการสดชื่นสบายกว่าทุกวันที่ผ่านมา แต่การตามรู้ไม่ดีเท่าวันที่ผ่านมา ลมหายใจก็จับไม่ค่อยได้ จิต ก็ไม่ค่อยเห็น แต่เดินไปทำงานด้วยความเบิกบานแบบแปลก ๆ ถึงแม้จะรู้สึกมีความสุข แต่ก็แปลก ๆ ทะแม่งชอบกล เหมือนกับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ผ่านไปครึ่งวันความรู้สึกนี้หายไปหมดแล้ว วันนี้ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับธรรมกาย และแนวการปฏิบัติอื่น ๆ เห็นแล้วเกิดความกลัวขึ้นมา คือตอนนี้มีความมั่นใจในแนวทางปฏิบัติของตนเองว่าถูกต้องตามหลักพระพุทธเจ้า แต่เห็นเหมือนกันว่ายังมีอีกหลายสำนัก หลายแนวทางเหลือเกิน ถ้าดันทะลึ่งไปเกิดอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น หรือไปเจออย่างนั้นแล้วไม่ได้เจอพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เสียชาติเกิดแน่ สมกับที่พระพุทธเจ้าบอกไว้จริง ๆ ทางพ้นทุกข์มีทางเดียว ไม่มี 2 ทางอื่นมันผิดกันหมด ไอ้ทางที่ถูกมีทางเดียว แต่ทางที่ผิดนี่นับกันไม่ถ้วน ทางที่ถูกมีทางเดียว ทั้งตรงและแคบอีกต่างหาก มิหนำซ้ำ มีเพียงแสงไฟวูบเดียวที่ส่องมาให้เห็นทาง ๆ นั้น ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า ถ้าผมไม่เรียกว่าโชคดีแล้วจะเรียกว่าอะไรดี ไม่สิต้องเรียกว่าอภิมหาโคตรโชคดีเลยต่างหาก ถ้าไม่ไปเที่ยวนี้มีหวังรออีกนานแสนนาน
พอได้อ่านเรื่องธรรมกายได้ความคิดขึ้นมาอีกอันนึง สิ่งที่อ่านที่ได้ศึกษาหรือสิ่งที่อาจารย์สอนมา สิ่งที่เราคิดว่าถูก หรือแม้กระทั้งพระไตรปิฎกที่ข้าพเข้าเชื่อและปฏิบัติตามอยู่นี้ ไม่ควรปักใจเชื่อเลยเสียทีเดียว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอก ว่าไม่ให้เชื่อด้วยต่าง ๆ นา ๆ 10 ประการ แต่ให้ลองปฏิบัติดูเมื่อเห็นผลแล้วจะละ หรือยึดถือค่อยว่ากันตอนนั้น แนะขนาดว่าไม่เชื่อ อย่างน้อยก็ต้องเชื่อคำสอนอันสุดท้ายนี้อยู่ดี แล้วก็เกิดความคิดตามมา เรื่องหลวงปู่ฤาษีลิงดำ เพราะท่านเคยกล่าวถึงหลวงพ่อสดไว้ แต่ตามที่ฟังดู หลวงพ่อสดท่านดีในระดับนึง แต่ไม่ถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติ แล้วก็เคยทราบมาว่า ท่านไปนอนเล่น นั่งเล่นที่นิพพาน เหมือนที่หลวงปู่ฤาษีลิงดำท่านก็บอกว่าไปนอนไปนั่งเล่นที่นิพพาน แล้วก็ได้ไปพบพระพุทธเจ้าด้วย เกิดความสงสัยในสิ่งที่ท่านสอนเรื่องท่านสอนให้ไปนั่งเล่นนอนเล่นที่นิพพานให้ติด จิตมันจะได้ผูกพัน พอตายจะได้ไปนิพพาน ไม่รู้ว่าเป็นอุบายของท่านที่ทำให้คนหันมาปฏิบัติ แล้วพอทำได้และพ้นทุกข์ ก็จะเข้าใจเอง หรือว่าท่านเกิดอุปทานเกี่ยวกับนิพพาน คือด้วยความรู้ที่เกิดจากการคิดเดาเอาของปุถุชนแบบผมนี่ ผมคิดว่าถ้ายังอยากได้นิพพานอยู่จะยังไม่ได้ ถ้ายังกลัวว่าจะไม่ได้ไปนิพพานอยู่ก็แสดงว่ามีกิเลสตัวที่เป็นความกลัว ความอยากอยู่ จึงไม่น่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง อยากไปนิพพานนี่กิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ น่าจะเป็นทางต้น ๆ เท่านั้นเอง อันนี้เป็นความสงสัยส่วนตัวมันเกิดขึ้น มิได้มีเจตตนาจะดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย แต่ที่มั่นใจได้สำหรับท่านก็คือ การสอนสมาธิ เรื่องทาง สมถกรรมฐาน นั้นผมยอมรับว่าแน่นอนจริง ๆ ทำให้เข้าใจได้ละเอียดยิ่งขึ้น เพราะฉนั้นผมได้อ่านได้ฟังอะไร ตอนนี้จะไม่เชื่อไว้ก่อนต้องลองปฏิบัติดู เพราะเสียหลักกับการปักใจเชื่อในสิ่งที่อ่านมาหลายครั้งแล้ว ต้องเอาหัวใจบัญฑิต ผู้ไฝ่รู้วัดกันเสียแล้ว ฟังแล้วก็รับรู้ไว้ไม่ปักใจเชื่อ ต้องลองทำดูก่อนนั่นเอง
มีบางครั้งบางความคิด ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอามาบันทึกไว้ในที่นี้ แต่คิดว่าเผื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่นในอนาคต ก็เลยจะขอบันทึกความรู้สึก และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ไม่ปกปิดเก็บไว้ เพราะฉนั้นสิ่งที่บันทึกนี้จึง อาจจะถูกและผิดได้ ในน้ำหนักที่เท่า ๆ กัน เพราะเป็นแค่ความคิด และความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งเท่านั้น

Thursday, September 16, 2004

วันที่ 5 จิตรับรู้ได้เพียงหนึ่ง

วันนี้ตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งไปถึงที่ทำงานคือว่าใช้ได้คือรู้เป็นระยะ แต่ไม่นานแต่ก็รู้ตลอด แต่ช่วงบ่ายนี่เล่นหายไปเลยเกือบทั้งบ่าย ตอนเย็นได้สอนธรรมะให้น้องที่บริษัท เป็นการปูพื้นฐานให้เห็นเป้าหมายว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเพื่ออะไร หลังจากพูดเสร็จรูสึกว่าจิตใจเป็นสุขอยูระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าความสุขนี้มันมีกิเลสผสมอยู่ด้วยมากน้อยแค่ไหนแยกไม่ออกจริง ๆ พอถึงค่ำ ๆ หน่อยก็หายไปเกือบหมดแล้ว วันนี้การตามรู้ลมหายใจไม่ค่อยเด่นนัก แต่ดูเหมือนว่าการตามดูจิตจะเด่นมากกว่าในบางช่วง สังเกตเห็นด้วยตัวเองว่า จิตนี้มันรับรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรสองอย่างในเวลาเดียวกันเลย เช่นตอนนั่งคิด ก็จะมีแต่ความคิด ตัวเตอ ตา หู สัมผัสทางกายหายไปหมด แต่พอตาทำงาน อย่างอื่นก็หายไปหมด พอหูทำงาน อย่างอื่นก็หายไปหมดเหมือนกัน เช่นหากเดิน ๆ อยู่เกิดมีความคิดขึ้นมา ร่างกายที่เดินอยู่ก็หายไป คือหายแบบจิตไม่รับรู้เพราะจิตกำลังคิดอยู่ แล้วกายก็เดินไปของมันเอง สักพักมันก็จะออกมาดูที่ตาบ้าง ที่หูบ้าง แต่มันเร็วมากเลยนะ สลับไปสลับมา เร็วมากจนบางครั้งยากที่จะตามทัน ที่เห็นอีกอย่างนึงก็คือตอนนั่งดูคอนเสิร์ตระหว่างอยู่บนรถกลับบ้านก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจ แต่คนขับดันเปิดคอนเสิร์ตเบิร์ดเสกซึ่งไม่เคยดูมาก่อน มันก็เลยเกิดอาการอยากเล็ก ๆ ก็เลยดูมันซะ ช่วงที่ดูอยู่มีอยู่ระยะนึงเราก็ดูจิตไปด้วย เห็นมันสลับจริง ๆ ระหว่างได้ฟังกับเห็น คือถ้าเห็นจะไม่ฟัง แต่ได้ยิน แต่ถ้าฟังอยู่ รูปที่ตาเห็นก็หายไปใหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามันสลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้แหละเร็วมาก
เวลาที่ไม่มีปัจจัยภายนอกที่โดดเด่นนัก จิตมันจะคิดแล้วก็มันฟุ้งซ่านไปเรื่อย แต่พอตัวรู้เห็นปับมันก็หยุด ไม่รู้ว่าตัวรู้มันเห็นแล้วตัวคิดค่อยหยุด หรือตัวคิดมันหมดปัจจัยของตัวเองพอวูบลงตัวรู้จึงขึ้นมาแทน แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเป็นได้อยู่นานเลย ไม่เกิน 2-3 วินาที หรืออย่างมากก็ 10 วินาทีเท่านั้นก็ฟุ้งใหม่ แล้วก็เห็นใหม่ไปเรื่อย ๆ ตามเรื่องตามราวของมัน

Wednesday, September 15, 2004

วันที่ 4 ไม่มีเวลา

วันนี้ตื่น 6:20 เพราะนอนดึกมาก ตีสาม ต้องทำงานเพื่อจะ นำเสนอในที่ประชุมวันนี้ โดยส่วนตัวผมแล้วมีสันดาน ที่เป็นข้อเสียแก้ไม่หายอยู่อย่างนึง ซึ่งเป็นมานานมาก ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นนิสัยนี้มาเลย นั่นก็คือความชล่าใจ หรือถ้าไฟไม่มาลนก้นก็จะใจเย็น ทำอย่างอื่น ไปก่อน อย่างเช่นเมื่อตอนสมัยเรียน ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือเลย แต่มีข้อดีคือเข้าเรียนทุกวัน แล้วมาอ่านเอาก่อนสอบวันเดียวทุกทีทุกวิชาเลย แต่ก็ดันทำข้อสอบได้ ดีกว่าคนอื่น จบมาเกรดอยู่อันดับที่สี่ของรุ่น ถือเป็นความฟลุ๊กอย่างยิ่ง นิสัยนี้มันติดมาจนกระทั่งทำงาน คืองานที่เขามอบหมายก็ทำไปเรื่อย ๆ พอเจออะไรน่าสนใจหน่อย ก็จะไปนั่งอ่านนั่งลอง อันนี้ไม่ใช่เอาเปรียบบริษัทนะครับคืออ่านก็อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมนี่แหละเป็นความรู้ใหม่ ๆ เป็นการพัฒนาศักยภาพ แต่สิ่งที่ผิดคือผิดเวลาไปหน่อย ตอนนี้เอาใหม่ในเมื่อเริ่มเจริญสติแล้ว ก็จะพยายามถามตัวเองว่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทำงานอยู่หรือเปล่า จะเอาสติดึงตัวเองให้กลับมาทำงานที่เขาต้องการจริง ๆ อยู่เสมอ คาดว่าจะดีขึ้นเดี๋ยวดูกัน
วันนี้ลมหายใจไม่ค่อยดีนักหายไปเป็นชั่วโมงเลย ด้วยเหตุผลเพราะเพลียจากการนอนน้อยด้วย

Tuesday, September 14, 2004

วันที่ 3 ความทุกข์จากงาน

ตั้งโทรศัพท์มือถือปลุกไว้ตี 5 ตื่นมากดแล้วก็นอนต่อ กิเลสมันมีกำลังมากเหลือเกิน วันนี้ดำเนินสติกำหนดรู้ลมหายใจได้พอพอกับเมื่อวาน คือเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนก็อัดกันเลย งานที่ผมทำอยู่ถือว่าเป็นงานที่ดีมาก คือเป็นโปรแกรมเมอร์ และก็เป็นวิศวกร ของบริษัทซีเกทเทคโนโลยีประเทศไทย จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ งานที่ทำอยู่ก็เป็นงานในฝันของคนหลาย ๆ คน และบริษัทก็ดีมาก ให้ความเป็นอิสระต่อพนักงาน ให้รับผิดชอบตัวเอง ไม่มีกฎระเบียบ เป๊ะ ๆ หัวหน้าก็ดีแสนดี ไม่เคยเร่งรัด ติเตียน ทั้งหัวหน้าโดยตรงและ สูงขึ้นไปอีกระดับก็ดี ไม่รู้จะว่าอย่างไร นี่เป็นความอัศจรรย์สำหรับชีวิตผมอยู่อย่างหนึ่งคือ เกิดมามีหัวหน้าโดยตรง ทั้งหมด 3 คน เจอแต่คนดี ๆ สงสัยชาติก่อนคงทำบุญไว้ดี เคยคุยกับเพื่อร่วมงานคนอื่น หรือบริษัทอื่น ส่วนใหญ่จะมีปัญหากับหัวหน้ามาก จนกระทั่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ถ้านั่งกินข้าวเย็นหรือนั่งคุยกันเวลาอื่น ๆ ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ต้องนินทาหัวหน้า แต่นินทาด้วยความทุกข์ของตัวเอง เห็นแล้วน่าเวทนา จริง ๆ ถึงแม้บริษัทจะดี งานจะดี ตำแหน่งจะดี แต่เชื่อไหมครับว่าผมก็ยังทุกข์อยู่ดี ทุกข์ว่าตัวเองทำงานได้ไม่ดี แต่ก็ทำเต็มที่แล้ว เต็มจนล้นด้วยซ้ำ ทุกข์ว่างานจะเสร็จไม่ทัน กังวลว่างานที่เราทำถ้าหยุดไปด้วยเหตุจำเป็น เช่น ตาย ใครจะมาทำต่อได้ มันเป็นความทุกข์อีกแบบนึงครับ ผมว่าจิตนี่มันดิ้นหาแต่ความทุกข์ ตอนที่มันทุกข์อยู่กับบางอย่างมันก็อยากพ้นทุกข์ตรงนั้นโดยให้ได้ตามใจมัน แต่พอได้มันก็ยังอุตส่าห์ทุกข์อีก

Monday, September 13, 2004

วันที่ 2 โลกที่แตกต่าง

ตื่นนอน 6:15 เนื่องจากตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไม่คิดจะตื่นตีห้าตามกำหนดการเพราะนอนดึกมาก พอเริ่มรู้สึกตัว รู้สึกว่าเพลียมากแทบไม่มีกำลังแต่ก็ฝืนลุกขึ้นมาได้ สังเกตุได้ชัดเจนว่าถึงแม้ร่างกายจะสลึมสลือเมื่อเริ่มรู้สึกตัว จิตก็เริ่มคิดทันที ภายในสองสามความคิดแรกที่วิ่งเข้ามา เริ่มจับลมหายใจทันที แต่ได้แค่สองสามรอบก็หลุดเพราะง่วงมาก นั่งเอ๋ออยู่พักนึง คิด สลับจับลมหายใจอยู่สองสามรอบจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ จับลมหายใจ ได้เป็นระยะ ตอนที่อาบน้ำ จนกระทั่งออกมาแต่งตัว เดินไปขึ้นรถเพื่อทำงาน ระหว่างทางที่เดินไปจับลมหายใจได้ทีละ สองสามรอบแล้วก็หลุด แต่หลุดไม่นานแล้วก็กลับมาจับได้ใหม่ ทำอย่างนี้ได้ตลอดจนกระทั่งเดินไปรอขึ้นรถ ก็ยังจับได้สลับหลุด อยู่ตลอด พอขึ้นไปนั่งบนรถ จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกที รถถึงบริษัทแล้ว ก็เริ่มจับใหม่เดินไปจนถึงโต๊ะทำงาน ก็จับได้สลับกับหลุดอยู่เรื่อย ๆ จับได้ไม่นานแต่ก็หลุดได้ไม่นานเหมือนกัน พอแปดโมงตรงเริ่มทำงาน ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป พบว่าหลาย ๆ ช่วงจับลมหายใจได้เหมือนกัน คือช่วงไหนว่างจากความคิด ก็จะจับลมหายใจได้นิดนึงสองสามรอบ แล้วก็ทำงานต่อ ทำได้อย่างนี้จนกระทั่งเที่ยง เดินไปกินข้าวลมหายใจหายสนิท รู้สึกตัวอีกทีตอนขึ้นมานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนบ่ายโมง จึงลองนั่งดูลมหายใจ บางครั้งได้ห้าถึงหกรอบแล้วก็หลุดสลับไปมาจนกระทั่งถึงบ่ายโมงจึงเริ่มทำงาน รู้สึกได้ชัดเจนว่าถึงแม้จะลองทำแค่ 10 นาทีแต่ รูสึกดีมาก
เมื่อเริ่มทำงานช่วงบ่าย ตลอดเวลาสี่ชั่วโมงลมหายใจหายไปไหนไม่รู้เห็นแค่แวบ ๆ สองสามครั้งตอนเดินไปห้องน้ำ ทั้งรู้สึกเพลียพอสมควร พอตอนจะเลิกงานจึงเห็นลมหายใจอีกรอบ เมื่อสายตามองออกไปที่โต๊ะทำงานด้านหน้าซึ่งมีเพื่อนร่วมงานอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง ขึ้นทันที ระหว่างเรา กับคนอื่น มีความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันคือ รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าตัวเองเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น เห็นคนอื่นนั่งทำอะไรกันก็ไม่รู้ ทำไปตามกรรม ตามกิเลสที่มันสั่งให้ทำ ไม่มีใครเลยที่จะดิ้นรนให้ตนเองหลุดจากกองกิเลส นั่งกอดกิเลสกันอยู่นั่นแหละ แต่ความรู้สึกเหงา ก็ตามขึ้นมาทันที เอ....แล้วทั้งบริษัทซึ่งมีคนหลายพันคนนี่ มีเราเพียงคนเดียวเองรึที่กำลังหาทางดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นก็รู้สึกเหงาอยู่เหมือนกันนะ เอ...หรือว่าเราเป็นบ้าอยู่คนเดียว กำลังทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปแล้วมันจะได้เหมือนอย่างทฤษฎีที่อ่านมาหรือเปล่า ทำง่าย ๆ แค่นี้มันจะได้จริง ๆ หรือ แต่ถ้ามองอีกมุมนึง หรือว่าเขาบ้ากันทั้งบริษัท แต่เรากำลังจะเลิกบ้า ชั่งมัน เก็บของเดินมาขึ้นรถกลับบ้าน ลมหายใจไม่ค่อยเห็น เพราะหลับบนรถอีกตามเคย จนกระทั่งเดินกลับมาถึงห้องก็จับไม่ค่อยได้ ช่วงบ่ายจนถึงเย็นแทบไม่เห็นลมหายใจเลยจริง ๆ
วันนี้เริ่มปัดกวากศีลข้อที่ไม่บริสุทธิ์ให้เริ่มบริสุทธิ์ ได้พอสมควรเหมือนกัน เช่นไม่ใช้อินเตอร์เน็ตของบริษัทเพื่อการส่วนตัว แทบจะไม่ใช้เลย บาร์โค้ดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ รปภ. ตรวจ แต่ก่อนทำบาร์โค้ดขึ้นมาเองเพื่อแปะไว้ข้างหน้าให้เขาตรวจเพราะ ตรวจข้างหลัง ค่อนข้างยุ่งยาก แต่มามองดูมันเป็นการโกหกเขาชัด ๆ ก็เลยแกะออก ต่อไปลำบากอีกนิดหน่อย เปิดให้เขาดู แต่ก็สบายใจ ว่าศีลได้บริสุทธิ์ขึ้นมาอีกระดับแล้ว

Sunday, September 12, 2004

วันที่ 1 ปฐมบทแห่งความตั้งใจในทางที่ถูกต้อง

หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน จนเข้านอน แล้วทำทุกอย่างในชีวิตปกติเหมือนเดิม ง่าย ๆ แค่นี้ คือทางที่ถูกต้อง
ครบรอบสี่เดือนพอดีนับจากวันที่เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังแต่ไม่มีหลักการทำแบบมั่ว ๆ ตอนนี้ได้หลักการแล้ว วันนี้ไม่รู้ว่าเริ่มจากเวลาไหนกันแน่ แต่อ่านหนังสือชื่อ ๗ เดือนบรรลุธรรม จบเมื่อตอนหัวค่ำ ตามความตั้งใจเดิมที่วางไว้คิดว่าสิ่งศักสิทธิ์คงช่วยจริง ๆ เพราะอยากได้อะไรก็ดูเหมือนจะได้มาทุกครั้ง ดังที่ตั้งใจว่าจะเอา อานาปานสติกรรมฐานเป็นที่ตั้งรบกับกิเลส หนังสือเล่มนี้อธิบายได้ละเอียดและชัดเจนมาก แต่ตอนอ่านจบมีความไม่พอใจเกิดขั้นพอสมควรเนื่องจากท่านผู้แต่งได้สรุปว่าเป็นเรื่องที่สมมุติขึ้น ตอนอ่านใจมันมีอุปทานว่าเป็นความจริงตั้งแต่ต้น พอมาอ่านตอนท้ายแค่ประโยคเดียว เหมือนกับจิตมันจะคิดว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นโมฆะไปหมดทั้ง ๆ ที่เนื้อความที่กล่าวมาทั้งหมดสมเหตุผลทุกประการไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวที่จะแย้งได้ แค่อ่านจบก็ได้ความรู้แบบสัญญาแล้วว่า แม้แต่หนังสือธรรมะจิตมันก็ยังคิดว่าเป็นตัวเป็นตนเอาความมั่นหมายไปจับแล้วสุดท้ายก็ โดนเล่นงานจากอุปทาน ความมั่นหมายอีกจนได้
ตั้งใจจะเขียนบันทึกนี้ให้ละเอียดทุกกระเบียดนิ้วการปฏิบัติ เพื่อเช็คความก้าวหน้าของตนเอง เพื่อเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้ผิดซ้ำรอยเดิมเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหากคนอื่นสนใจ ก่อนนี้ตอนอ่านหนังสือจบใหม่ ๆ จิตมันยังอุตส่าเกิดโทษะ ว่าทำไมผู้เขียนต้องแต่งขึ้น ทำไมมันไม่เป็นความจริง ก็เลยเกิดอาการจะทำของตัวเอง ซึ่งเรื่องราวที่เราได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่ง เรื่องจริง หรือนิยายมันไม่สำคัญหรอก นิยาย กับชีวิตจริงมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ นี่คงเป็นนิยายอีกเรื่องนึงที่กำลังถูกแต่งอยู่กระมัง
ก่อนหน้านี้ได้รักษาศีลห้าไม่ให้ขาดตกบกพร่องมาระยะนึงแล้ว รู้สึกได้ว่าดีขึ้นแต่ไม่เท่าที่ควร พึ่งจะมารู้สาเหตุว่ามันไม่บริสุทธิ์จริง ๆ ในบางข้อมันจึงเป็นกระดำกระด่างอยู่ ขอทบทวนการปฏิบัติศีลแต่ละข้อดังนี้
ข้อ 1 คิดว่าทำได้ดีแล้วเพราะไม่ฆ่าเลยแม้แต่มดแมง ยุง ตัวเล็ก ๆ ช่วงแรก ๆ เกิดความลำบากนิดหน่อยแต่ตอนนี้สบายขึ้นเยอะ ไม่มีอะไรน่าหนักใจในข้อนี้
ข้อ 2 ลักทรัพย์ เคยคิดว่าเป็นของง่ายเพราะแค่ไม่ขโมยของคนอื่น บาทเดียวก็ไม่เอา ก็ได้แล้ว แต่ปรากฏว่าคิดพิจารณาดี ๆ ข้อนี้ยังด่างพร้อยอยู่พอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นคู่กรณีกับบริษัท เช่น ใช้อินเตอร์เน็ตของบริษัทในการไปอ่านเว็บ ธรรมมะ อ่านเมลล์ ของส่วนตัว ไปเรียนภาษาอังกฤษหลังเลิกงาน ใช้กระดาษและหมึกพิมพ์ของบริษัทในการพิมพ์สิ่งต่าง ๆ เพื่อตนเองถึงแม้จะเป็นเนื้อหาธรรมะก็ตาม เหล่านี้คงต้องหาทางออกให้ถูกต้อง อาจจะขออนุญาตจากบริษัทโดยตรงหรือไม่ก็ต้องใช้ ปัจจัยของตัวเอง ในการทำสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างที่สำคัญและแก้ค่อนข้างยากก็คือการใช้ Software เถื่อน ไม่ต้องอธิบายมันผิดเต็มประตู แต่ก็น่าเห็นใจคนไทยที่เป็นการยากเหลือเกินที่จะหาเงินซื้อของแท้มาใช้ได้เพราะแพงเหลือเกินเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ วิธีแก้ปัญหานี้ก็จะหันไปใช้ Freeware และ Open Source ให้เยอะเข้าไว้ จะใช้ของเถื่อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อไปอะไรผิดจะต้องระวังไห้มากแม้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พลาดไม้ได้
ข้อ 3 ข้อนี้ก็เคยคิดว่าสบายสำหรับตัวเองเหมือนกัน ต้องระวังให้มาก สายตา วาจา การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พลาดไมได้เหมือนกัน
ข้อ 4 ข้อนี้ปัญหาใหญ่ถึงแม้จะทำได้ดีมาแล้วในระดับนึง แต่พบว่าการที่ต้องพูดคุยกับคนในสังคงอยู่มาก ๆ นั้น การโกหกตรง ๆ เพื่อเจตนาทำให้เขาเดือดร้อนนั้นไม่มีอยู่แล้ว แต่ว่าส่วนย่อย ๆ ที่บางครั้งดูจะเป็นมารยาททางสังคม เป็นการถนอมน้ำใจ หรือกระทั่งเป็นการตอบคำถามเพื่อให้หัวหน้าสบายใจโดยเบี่ยงเบนความจริงบ้าง การเล่นมุข เล่าตลก พูดเรื่อง เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ยังมีอยู่มาก ข้อนี้ต้องพัฒนาอีกเยอะ
ข้อ 5 ข้อนี้ง่าย และตรง ๆ แค่ไม่กินแล้วก็ไม่อยากกิน ไม่อยากให้คนอื่นกินด้วย ตรง ๆ ไม่ลำบากอะไร
การภาวนาวันนี้เริ่มได้ดี แม้จะขับรถ ไปเดินในห้างสรรพสินค้าจิตก็ระลึกรู้ลมหายใจอยู่เป็นระยะ ไม่ห่างกันมากนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะได้ตามดูจิตมาก่อนแล้วระยะนึงซึ่งก็คงเป็นผลที่ได้มาวันนี้นอนดึกมาก ตีสามกว่าแล้วที่ดึกก็เพราะมานั่งเขียนบันทึกนี้นี่แหละ

แผ่เมตตา

ก่อนจะเข้านอน สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เริ่มต้นด้วย ไหว้พระรัตนตรัย นะโมสามจบ แล้วก็ถวายพรพระ ด้วย อิติปิโส 1 จบ จากนั้นจะขอขมาพระรัตนตรัย แผ่เมตตาตาแบบ แล้วก็แผ่เมตตาด้วยคำพูดของตัวเองอย่างตั้งใจ เริ่มจาก ด้วยบุญกุศลคุณงามความดีที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติทุก ๆ ชาติ นับแสนกัปแสนกัลป์จนถึงปัจจุบัน ขอถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอถวายแด่พระธรรม และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ทั้งองค์ปัจจุบัน และทุก ๆ องค์ และขอแผ่เมตตาบุญกุศลทั้งหลายแก่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คู่ครอง น้องชาย น้องสาว ญาติพี่น้อง เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน ทุก ๆ คน (บางคนก็เอ่ยชื่อด้วย) ทั้งในชาตินี้และ ทุก ๆ ชาติที่ผ่านมา ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะอยู่ในภพภูมใดก็ขอให้ได้รับส่วนบุญกุศลนี้ให้ท่านมีความสุขสบายตามอัตภาพด้วยเถิด และขอแผ่เมตตาบุญกุศลนี้ให้กับ เพื่อนร่วมชาติไทย คนต่างชาติ ยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง และทุก ๆ คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ผู้ที่ชดใช้กรรมอยู่ในนรกทุก ๆ ขุมตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นมา และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ ผู้ที่อยู่ในสุคติภูมิ ทุก ๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นางฟ้า รุกขเทวดา ชั้นต่าง ๆ ชั้นดุสิต ชั้นดาวดึง ชั้นอื่น ๆ ซึ่งไม่รู้จักชื่อ จนถึงชั้นพรหม และพระอินทร์ทุก ๆ ท่าน ด้วยส่วนบุญที่ข้าพเจ้าอุทิศให้อาจจะเป็นส่วนน้อยหากเทียบกับส่วนของท่านก็ยังทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจ และขออุทิศส่วนกุศลให้กับ เจ้าที่เจ้าทางผู้ดูแลปกปักรักษาอยู่นะที่ต่าง ๆ ทั้งหมด โดยเฉพาะ ที่ทำงาน บ.ซีเกทโคราช บ.ซีเกทเทพารักษ์ เจ้าที่ที่สีมาคอนโด เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ ม.ข. เจ้าที่ที่ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าเคยอยู่อาศัยมาทั้งหมด และสุดท้ายเป็นพิเศษขออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ก่อกรรมกันมา สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเคยทำกับท่านไว้ขอท่านช่วยอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าเพื่อความสุขของข้าพเจ้าและของท่าน จนกว่าข้าพเจ้าและท่านจะเข้าสูพระนิพพาน และหากท่านหรือใคร ๆ ที่เคยก่อกรรมก่อเวรกับข้าพเจ้าไว้ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมทั้งหมดไม่มีข้อแม้ใดๆ สุดท้ายด้วยบุญบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์ปัจจุบัน รวมทั้งองค์อื่น ๆ หรือด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าเคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันก็ดี ขอผลบุญนั้นจงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้พบแนวทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติ ให้ถึงพระนิพพานภายในชาตินี้ (มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่พระธรรมนั้นลึกซึ้งและหลากหลายเหลือเกิน กลัวว่าจะเดินผิดทางดังที่คนส่วนใหญ่เดินผิดกันมานัก ต่อนักแล้ว) หรือหากกำลังเดินผิดทางอยู่ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่ากำลังเดินผิดทาง และกลับมาเดินให้ถูกทาง จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
จะว่าอภินิหาร หรือคิดเอาเองด้วยอุปทานก็ไม่รู้ นะตอนนี้ข้าพเจ้ามีหนังสืออยู่สองเล่มเป็นแนวทางการปฏิบัติที่เข้าตากรรมการมากแล้วทั้งสองเล่มก็ใกล้เคียงกันมาก เล่มแรกชื่อประทีปส่องธรรม อีกเล่มชื่อ ๗ เดือนบรรลุธรรมอ่านจบเรียบร้อยทั้งสองเล่มเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นแนวทางการเดินสู่มรรคผลอย่างชัดเจน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติอย่างละเอียดละออดีมาก ข้าพเจ้าเห็นทางแล้วและข้าพเจ้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว (ถ้าเป็นครั้งสมัยพุทธกาลข้าพเจ้าคงจะอุทาน ออกมาดั่งที่คนส่วนใหญ่เขาอุทานกัน ว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หมายเหตุ: ในวงเล็บเพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๘ เนื่องจากพึ่งจะเห็นชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับ คนอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีคนที่รู้สึกกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ในทำนองเดียวกันนี้มานักต่อนักแล้ว อัศจรรย์จริง ๆ)
นับตั้งแต่เกิดใช้ชีวิตแบบไม่รู้อยู่ถึง 19 ปีกว่าจะได้เห็นแสงสว่างแว็บเข้ามาในชีวิต หลังจากเห็นแสงแว็บแรกต้องใช้เวลาอีกถึง 7 ปีถึงจะได้เริ่มเดินทางเข้าสู่ทางสว่างซึ่งมีแสงเพียงรำไรนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ทางที่เข้าสู่มรรคผลนิพพานนั้นเหมือนแสงที่สาดเข้ามาเพียงแว็บเดียวในวัฏสงสารนี้ใครเห็นและเดินเข้าไปทันก็ทัน จากนั้นก็จะอยู่ในความมืดมนอีกนาน นานจนปีมนุษย์ไม่สามารถจะคิดได้ ข้าพเจ้าไม่ประมาทอีกต่อไปแล้วไม่รู้ว่าถ้าพลาดครั้งนี้แล้วครั้งต่อไปจะอีกเมื่อไรถึงแม้จะได้เกิดสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า แสงก็มิได้ทั่วถึงทุก ๆ คนมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นและเดินเข้าไปจนถึงฝั่ง
ยากที่จะตอบคำถามว่าข้าพเจ้ามาถึงจุดที่สำคัญนี้ได้อย่างไร จะตอบได้ก็คงเพียงด้วยการเดาจากความรู้อันน้อยนิดที่พอได้อ่านได้ฟังมาว่า ชีวิตนี้กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเคยได้คิดและได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนี้ในชาติก่อน ๆ จึงส่งผลให้ชาตินี้ กรรมขาวที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ ค่อย ๆ ส่งผลและชี้ทางให้ข้าพเจ้ามาถึงจุดนี้ได้

Saturday, August 28, 2004

ประทีปส่องธรรม

เมื่อตอนต้นเดือนได้รับหนังสือจากพี่รัตน์ ทำงานอยู่แผนก Test ที่ เทพารักษ์ ได้หนังสือมาหลายเล่ม แต่เล่มที่เห็นว่าดีมาก ๆ คือ ประทีปส่องธรรม ผู้แต่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เทสก์ และ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตั้งแต่สมัยยังเป็นฆาราวาส ปัจจุบันท่านออกบวชแล้ว เนื้อหาในหนังสือ จะเป็นแนวการปฏิบัติแบบ วิปัสนากรรมฐาน ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยได้เรียนรู้แต่ แนวสมถกรรมฐาน สิ่งที่โดนใจมากที่สุดก็คือ ท่านสามารถแจกแจงทั้งในแนววิปัสนา กรรมฐาน และแนวสมถกรรมฐาน ได้อย่างละเอียดละออ เข้าใจง่าย บอกขั้นตอนอย่างละเอียด จะว่าไปแล้ว เป็นหนังสือแนะนำการปฏิบัติ ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมาก็ว่าได้ เข้าใจว่าผู้ที่มีพื้นฐานมาบ้างอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเข้าใจพุทธศาสนาอย่างมาก ภายหลังทราบมาว่าบางคนอ่านแล้วหนักเกินไปไม่ค่อยรู้เรื่อง คิดว่าคนคนนั้นต้องการปูพื้นอีกนิดหน่อยก็จะเข้าใจได้อย่างดี
เมื่อเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ดีมากจึงมีความคิดที่จะพิมพ์แจก ตั้งใจว่าจะรวมเงินของญาติพี่น้อง และเพื่อน ๆ ทั้งหมดมาจัดพิมพ์ แต่คิดว่าคงอีกนาน พอดีได้โทรไปคุยกับพี่ปิ่นที่เทพารักษ์ซึ่งเป็นคนแจกหนังสือเล่มนี้ ท่านก็กรุณาติดต่อที่โรงพิมพ์ให้ ตั้งใจว่าจะขอซื้อสัก 20 เล่มเพื่อเอามาแจกก่อน แต่ปรากฏว่า หนังสือที่เหลืออยู่ที่โรงพิมพ์ มีเพียง 14 เล่ม จึงขอเหมาหมดเลย เพื่อเอามาแจกให้ คนที่คิดว่าพร้อมที่จะรับ
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สอนการปฏิบัติในแนวทางวิปัสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ จึงได้แนวทางการปฏิบัติอีกแนวหนึ่งคือ การตามรูจิต เป็นสิ่งใหม่สำหรับข้าพเจ้าจริง ๆ ความจริงแล้วเคยได้ยินเรื่องการตามรู้จิตมาจากเทศนาของหลวงพ่อพุธ มากก่อนแล้ว แต่ด้วยความโง่ของข้าพเจ้าจึงไม่เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อแสดง พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้จึงได้เข้าใจว่า คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง จึงได้แนวทางปฏิบัติที่ดีอีกแนวทางหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนนี้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติมาก แต่หลังจากทำมาแล้วระยะนึงพบว่ายังไม่ไปถึงไหนเลย ทำมั่วแบบนี้แบบนั้นไปเรื่อย ๆ คราวนี้เอาใหม่ จะพยายามตามรู้จิตเรื่อย ๆ ถ้ามีเวลาโอกาสเอื้ออำนวยก็จะนั่งสมาธิโดยการใช้อานาปานุสติกรรมฐานเป็นหลัก หรืออาจจะแถมด้วยพุทธานุสติกรรมฐานก็ได้ หรือถ้าวันไหนอยากลองกสิณ ก็จะลองอาโลกสิณ แต่ไม่สนใจกสิณมากนัก เป็นของแถม สิ่งที่ตั้งใจมาก ก็คือ อานาปานุสติกรรมฐานจะต้องเอาให้ได้
หลังจากลองตามรู้จิตของตนเองมาระยะนึง พึ่งจะรู้ตัวเองว่า วันนึงตั่งแต่เช้าตื่นนอนรู้สึกตัว จิตจะเร่มคิดฟุ้งซ่านทันที คิดนั่นคิดนี่คิดไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้จบ เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้น ภายใน 10 นาทีคิดไปแล้วไม่น้อยกว่า 20-30 เรื่อง แล้วส่วนใหญ่ก็จะคิดย้อนเรื่องเดิม บางทีวันนึง อาจจะคิดถึงเรื่องเดิมเป็นร้อย ๆ รอบ ไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งเข้านอน ไม่รู้มันคิดอะไรของมัน ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคิดเห็นมันคิดทั้งวัน และก็ห้ามมันไม่ได้ แต่จะรู้สึกตัวอยู่เกือบทั้งวันว่ามันคิดอะไรบ้าง พอรู้มันก็จะหยุดแป๊บนึง แล้วมันก็เอาอีก คิดอีกเรื่องนึง พอคิดไปแป็บนึงจบ ก็คิดเรื่องใหม่ต่ออีก ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคิด ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดมายอมรับจริง ๆ ว่าไม่เคยเห็นมันคิดเลย เพราะเราคิดไปกับมันนั่นเอง ตอนนี้มีอีกตัวนึงมาเห็นมัน ซึ่งตัวนี้ก็เป็นตัวคิดอีกตัวนึงเหมือนกัน ตอนนี้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ท่านบอกว่าเห็นแล้วก็เห็น ก็ปล่อยมันไป ตอนนี้ได้แค่นี้ในส่วนของการตามรู้ ถือว่าดีมาก ได้เจอในสิ่งมี่ไม่เคยเจอมาก่อน
ส่วนการภาวนานั้น พอจะนั่งทำสมาธิหน่อยไอ้จิตตัวเดิมมันก็ไม่ยอมอีก มันตั้งท่าจะคิดอย่างเดียว ทำยังไงมันก็ไม่ยอม แต่ก็พอเข้าใจมันอยู่เหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว จู่ ๆ จะไปห้ามไม่ให้มันทำมันก็ไม่ยอมง่าย ๆ ไอ้ตัวกิเลสก็คอยเป่าหู หลอกล่ออยู่ ยิ่งยากกันไปใหญ่ ตามที่ศึกษามาพบว่านิสัยนี่มันติดตัวมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว มันก็จะเป็นแบบเดิม ๆ นิสัยเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ คนที่ชอบแบบไหนเกิดมาก็จะชอบแบบนั้นอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ของเดิมไม่มีทางหายไปไหน กรรมก็ไม่หายไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่กรรมดีชั่วที่ส่งผลล้วน ๆ เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ นี่เป็นสาเหตุให้ตอนนี้พยายามทำดีสุดชีวิต อย่างน้อยก็เป็นเครื่องมือในการเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่ให้ลำบากเกินไปนัก แต่ถ้าเป็นไปได้ พอกันที ชาตินี้ ไม่เอาอีกแล้วเวียนว่ายตายเกิด อธิษฐานไว้อย่างนั้นทุกวัน

Monday, July 26, 2004

จิตฟุ้งซ่านอีกรูปแบบ

บางครั้งการทำสมาธิก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่นะตำแหน่งไหนกันแน่ สงบหรือยัง แบบไหนที่เรียกว่าสมาธิ บางครั้งดูเหมือนจิตมันไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรมากนัก แต่กลับพบว่ามีปัญหากับตัวรู้มากกว่า เหมือนกับว่ามันมีอยู่สองตัว คือตัวจิต กับตัวรู้ โดยปกติแล้วมันจะไปด้วยกัน แยกแยะไม่ได้เลย เวลามีสมาธิ (ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตัวรู้มันจะเห็นตัวจิต แล้วมันจะบอกได้ว่า จิตกำลังรู้สึกอะไรอยู่ หรือว่ามันเป็นตัวเดียวกันก็ไม่รู้ มันอาจจะเป็นตัวเดียวกันแล้วเป็น Hyper Trade ก็ได้ หรือไม่มันก็เป็นสองตัวจริง ๆ ยังไงก็ช่างมัน รู้แต่ว่ามันมองเห็นเป็นสองตัวก็แล้วกัน เวลาเหมือนจะเกิดความสงบขึ้น พบว่าตัวจิตมันเงียบไปเหมือนกัน บางทีมันก็ท่องพุทธโธ ตามที่ให้มันท่อง บางครั้งมันก็ดูลมหายใจไปให้ด้วยในตัว คือถือว่าดีแล้ว แต่ตัวปัญหากลับเป็นตัวรู้ ก่อนหน้านี้ไอ้ตัวรู้จะนั่งดูตัวจิต ก็จะคอยนั่งสั่งสอนจิต บอกจิตให้สงบ คือมันมีประโยชน์ แต่ปรากฏว่า พอตัวจิตมันสงบมันทำได้แล้ว ไอ้ตัวรู้ ไม่รู้จะสอนใครจิตก็นิ่งไป แล้วไอ้ตัวรู้มันกลับไม่นิ่งตามจิตไปด้วยมันกลับคอยจ้องจะคิด มีอะไรเอะอะนิดหน่อยไม่ได้มันคิด มันจับทฤษฎี คำสอนของพระอาจารย์ต่าง ๆ มาแสดงภูมิของตัวเองไปหมด ก่อนหน้าที่ไอ้ตัวจิตจะสงบ ทำแบบนี้ก็ถือว่าดี เหมือนครูคอยกำราบนักเรียนให้เงียบ ไป ๆ มา ๆ นานเข้านักเรียนก็เงียบ แต่พอนักเรียนเงียบ ครูเจ้ากรรมก็ยังไม่หยุดพูดหยุดสอน ยังพูดต่อบ่นต่อไปเพ้อเจ้อ แล้วจะเอาใครมาสั่งครูอีกทีละคราวนี้ ถ้าให้นักเรียนสอน ลองนักเรียนพูดมาซักคำเป็นได้เรื่องครูเขาก็จะได้ทีอบรมนักเรียนอีกรอบไม่จบสิ้นเสียที ตอนนี้นักเรียนเงียบแล้วแต่ครูยังไม่เงียบ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ติดอยู่ไม่ไปหน้ามาหลังเลย

Friday, June 18, 2004

จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน

เมื่อภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจ จงทำดังนี้ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุทธ เวลาหายใจออกนึกว่าโธ ภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจตามนี้ไปเรื่อย ๆ ไปตามสบาย ถ้าอารมณ์ใจสบายก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป แต่ถ้าเกิดอารมณ์ใจหงุดหงิด หรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉย ๆ หรือดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ หรือหาเพื่อนคุยให้อารมณ์สบายก็ได้ (เป็นการผ่อนคลายอารมณ์) อย่ากำหนดเวลาตายตัวว่าต้องนั่งให้ครบเวลาเท่านี้ แล้วจึงจะเลิก ถ้ากำหนดอย่างนั้น เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านขึ้นมาจะเลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่กำหนดไว้ ใจก็เพิ่มการฟุ้งซ่านมากขั้น ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ จะเป็นโรคบ้า ขอทุกท่านจงอย่าทำอย่างนั้น
หลวงปู่ฤาษีลิงดำ P659
ความเห็นเพิ่มเติม อันนี้ผมว่าท่านสอนให้ทำสมถะ นะครับคือ สมถะเนี่ยถ้าไปไม่ไหวไปฝืนมัน มันไปลำบากต้องทำอันที่เราชอบ เราถูกจริต ทำแล้วสบาย สงบง่าย แต่ถ้าจะเดินวิปัสนา พระพุทธเจ้าท่านให้รู้ตามสภาวะไปเลย ถึงจิตจะฟุ้งซ่าน ท่านก็ให้รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ตามอ้างอิงใน จิตตานุปัสสนา มหาสติปัฏฐานสูตร ดังข้างล่างนี้
[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิต ปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิต ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิต ปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็น มหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคตจิต มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิต อื่นยิ่งกว่าจิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่ เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุด พ้น ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็น จิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณา เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่าง หนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัย ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ

Saturday, May 15, 2004

กุศลและอกุศลมันเนื่องกัน

การทำผิดศีล 1 ข้อ จะเป็นชนวนเหตุให้ศีลข้ออื่น ๆ ผิดไปด้วย เช่น ผิดข้อ 3 ก็จะเป็นผลให้ข้อ 4 ผิดตามไปด้วย, ผิดข้อ 5 อาจจะทำให้ ผิดข้อ 3 ผิด ข้อ 4 ผิด ข้อ 2 ก็ผิดตามไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นศีลใน 5 ข้อต้องบริสุทธิเท่านั้นจึงจะช่วยให้เรา ดำรงอยู่ได้
กิเลสก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสตัวใดตัวหนึ่งมันอ่อนกำลัง ตัวอื่น ๆ มันก็อ่อนกำลังตามไปด้วย ถ้าตัวใดมันฮึกเหิมขึ้นมา แข็งแรงขึ้นมา ตัวอื่น ๆ มันก็ฮึกเหิมตามไปด้วยเช่นกัน ดังที่หลวงปู่มั่นท่านกล่าวไว้
ตราบใดที่มอง กามราคะยังเป็นสิ่งสวยงาม ยังเป็นสิ่งที่น่าพิสมัย โดยเฉพาะกามราคะ ความกำหนัด ที่อยู่นอกกรอบของศีล 5 นี่พูดถึงขั้น ใจ ซึ่งเลยกาย และ วาจา มาแล้ว กาย กับวาจา นั้น ง่าย มาก แค่ ไม่ทำ ไม่พูด มันก็ทำได้แล้ว แต่ใจ นี่มันเป็นเรื่องของ จิต ซึ่งควบคุมมันลำบากมาก อยู่ ๆ มันก็อยากขึ้นมา แต่สักพักมันก็หายไปนะ เอาสติสอนมันมาก ๆ เอา อสุภะ มาพิจารณาให้มาก ๆ มองให้มันเป็นสิ่งไม่น่าดู ไม่น่าทำ จุดสุดท้ายที่ต้องการ ก็คือความเฉย เฉยกับมันไห้ได้ นี่พูดถึงขั้นใจ นะ

Thursday, May 13, 2004

นั่งสมาธิ

หลังจากอ่านหนังสือหลวงปู่ฤาษีลิงดำจบช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้เริ่มปฏิบัติและเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติจริง ๆ เสียที แต่พอทำไปสักระยะพบว่า การนั่งสมาธิโอกาสในการถอนจากสมาธิมีเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวนจากภายนอก นิดหน่อย เช่นความกังวลเกี่ยวกับ คนที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งหลับไปแล้ว แต่นอนดิ้นนิดหน่อย จิต มันก็วิตก กังวล ไม่เป็นสมาธิ นั่งไปนาน ๆ น้ำลายมันเยอะ ไหลออกมามากแล้วหยด หยดลงมาที่ขา เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาทันที สภาวะจิตเปลี่ยนทันที นี่แค่เป็นสิ่งเล็กน้อย เท่านั้นยังเป็นสาเหตุให้ภาวะขอจิต เปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้
วิธีแก้ สติต้องเร็วพอที่จะจัดการ คือให้สติรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็จัดการบอก หรือ สอน ให้จิตเข้าใจว่านี่มันเป็นธรรมดาเหมือนกัน มันเป็นธรรมชาติเหมือนกัน แล้วก็ให้มันเฉยเข้าไว้ ให้นิ่งเข้าไว้

Sunday, April 18, 2004

เริ่มต้น

ไปงานเผาศพแม่ใหญ่น้อย ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ ได้ยืมหนังสือจากย่าซึ่งตอนนี้แก่มากแล้วมาเล่มนึง เป็นประวัติหลวงปู่ฤาษีลิงดำ หลังจากนั้นไม่นานหนังสือก็อ่านหนังสือซึ่งมีเกือบพันหน้าจบ เป็นตัวกระตุ้นและชี้ทางที่ดีมาก ซ้ำยังทำให้เข้าใจพุทธศาสนาได้กว้างขวางกว่าเดิมอีกมาก ต่อจากนั้นก็ได้ฟังเทศน์ท่านจากเว็บอีกพอสมควร เป็นสิ่งที่ดีมาก (ภายหลังมีความคิดเห็นส่วนตัวว่าวิธีที่ท่านสอนนั้นบางอย่างเป็นการส่งจิตออกนอก ไม่รู้ว่าเป็นอุบายเบื้องต้นหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรองค์ท่านเองก็ยึดมั่นในศีลธรรมอย่างเคร่งครัดองค์หนึ่ง เราต้องนับถือท่านในฐานะนักปฏิบัติเพื่อหาความจริง ในฐานะผู้กล้าอีกผู้หนึ่งเหมือนกัน ยังไม่บังอาจไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะทำได้ เราก็จะไปเรื่อย ๆ ของเรา ตามกำลังที่มี)

Saturday, March 20, 2004

จุดเปลี่ยน

สิ่งสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อขับรถเกิดอุบัติเหตุ ชนเสาไฟฟ้า แล้วตกไปในคลอง ประตูด้านคนขับกระแทกกับเสาไฟฟ้า วันนั้นไม่ได้กินเหล้า ไม่เมา ไม่ได้ขับเร็ว ขับมาธรรมดา และเคยคิดว่าตัวเองเป็นมือวางอันดับต้น ๆ ในการขับรถที่เคยภูมิใจในตัวเองนักหนา เอาเข้าจนได้ ถึงเวลาเกิดมันก็ต้องเกิดจริง ๆ "กรรม" และ “อนิจจัง” เข้าใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดแน่นอนเลย นั่งติดอยู่ในรถหลังจากรถหมุนและชนเข้ากับเสาไฟฟ้า มีความงงตอนที่รถหมุน ว่าทำไมมันเกิดขึ้นได้ ทำไมเราควบคุมรถไม่ได้ จนกระทั่งรถชนเสาไฟฟ้าดังโครมแล้วหยุดนิ่งเหลือแต่ภาพกระจกที่แตก และฝุ่นที่ยังคลุ้งอยู่ ความคิดแว๊บพุ่งขึ้นมาทันที ความตายมันอยู่แค่นี้เองไม่ได้อยู่ไกลเลย ความกลัวและตกใจไม่ได้เกิดขึ้นแก่จิตใจ ดูเหมือนว่าจิตจะเห็นความสำคัญของสิ่งที่อยู่ในใจมานานทันทีในวินาทีนั้น ความตายไม่ได้อยู่ไกลเหมือนที่คิดไว้คงรอไม่ได้แล้วหละ แต่จะเริ่มอย่างไรดีละ