Tuesday, November 29, 2005

ผ่อนอาหาร

ตั้งแต่ลาสิกขามาจนถึงวันนี้ น้ำหนักขึ้นมาประมาณ ๑๐ กิโลกรัม รู้สึกว่าอึดอัด และก็ขี้เกียจ การกินเยอะก็จะนอนเยอะ ชักจะเหมือนหมูเข้าไปทุกวัน ก็เลยเริ่มลดอาหาร กินเฉพาะตอนเช้า แล้วไม่กินอะไรอีกเลยนอกจากน้ำเปล่า และตอนเย็นก็กินน้ำส้มคั้น โดยคั้นเอง บ้างในบางวัน

วันสองวันแรกตอนเย็น ๆ จะรู้สึกหิวเพราะร่างกายมันเคยชิน แล้วความหิวมันก็กระเทือนขึ้นมาถึงจิต ทั้ง ๆ ที่ความหิวกับจิต มันคนละอันกัน จิตก็จะดิ้นรนอยากกินนู่นอยากกินนี่ มันทนไม่ได้ มันไม่ชอบสภาวะแบบนั้น อะไรของมันก็ไม่รู้แค่นี้ก็จะเป็นจะตาย แต่ไม่ยอมทำตามมัน สุดท้ายก็ไม่เห็นมันเป็นอะไร มันมีแต่จะหาเหตุผล อ้างนู่น อ้างนี่ อ้างว่าต้องทำงาน ใช้พลังงาน เดี๋ยวไม่มีแรง เดี๋ยวสมองเสื่อม มีแต่กิเลส ห่วงตัวเองทั้งนั้น

วันที่ ๓ - ๔ เริ่มสบายตัวขึ้นมาก ตัวเริ่มเบา ไม่อึดอัด แล้วก็ไม่ค่อยรู้สึกหิวด้วย เพราะร่างกายเขาปรับของเขาได้แล้ว

ผ่านไป ๗ วัน น้ำหนักหายไป ๓ - ๔ กิโลกรัม ร่างกายก็เบาสบาย ไม่วุ่นวาย กับอาหารการกินเหมือนแต่ก่อน เดี๋ยวข้าวเที่ยง เดี๋ยวข้าวเย็น เดี๋ยวขนม เดี๋ยวน้ำหวาน วุ่นวายไปหมด อยู่แบบนี้สบายดี ว่าจะทำอย่างน้อยซักหนึ่งเดือน แต่ถ้าทำได้ตลอดไปคงจะดีมาก

Monday, November 28, 2005

คุณปู่สิ้นบุญ

วันนี้เวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ปู่ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าปู่คือ วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๘ ตอนนั้นเราบวชแล้วเดินทางไปหาปู่ตั้งใจว่าจะไปสอนธรรมะ เหมือนกับที่สอน ย่า ตา ยาย แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะปู่ท่านความจำเริ่มเสื่อมไปเสียแล้ว คุยกันไปแป็บเดียวก็จำไม่ได้ และล่าสุด วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ผ่านมาได้ทราบข่าวว่าท่านอาการหนักหลังจากเข้าโรงพยาบาลมา ๓ - ๔ วัน และสุดท้ายก็มาเสียชีวิตวันนี้ ต้องวางอุเบกขา เพราะไม่รู้จะช่วยท่านได้ยังไง จนปัญญาของเราจริง ๆ

จิตใจนั้นไม่กระทบกระเทือนเท่าไหร่นัก เพราะทราบอาการของปู่มาเป็นระยะแล้ว และจิตใจมันก็พอที่จะเข้าใจธรรมชาติของความตายพอสมควรแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันย้อนมาหาตัวเองว่า ถ้าสมมุติเราตาย วันนี้ ตอนนี้เหมือนกับปู่ จะเป็นยังไง คนทั่ว ๆ ไปเวลาตายก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน จิตใจก็โดนแรงแห่งกรรมส่งไป ส่วนเจ้าตัวนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย กลิ้งไปเหมือนลูกบอลที่โดนกรรมเขาเตะไปซ้ายที ขวาที ข้างล่างที ข้างบนที

ช่วงนี้ได้รับข่าวจากคนรอบข้างค่อนข้างเยอะ พี่สาว กับ เพื่อนก็พึ่งคลอดลูก น้องที่รู้จัก กับเพื่อนอีกคน ก็พึ่งแต่งงาน เพื่อนอีกคนก็กำลังจะรับปริญญา ญาติที่รู้จักก็ป่วยมาเป็นปี สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าปู่เสียชีวิต ครบทุกสูตร เลย ตั้งแต่เกิด เรียนจบรับปริญญา แต่งงาน มีลูก แก่ แล้วก็ตาย ชีวิตมันมีเพียงแค่นี้เองหรือเนี่ย ชีวิตเกิดมาดิ้นรนกันไปสุดชีวิต แล้ววันหนึ่งก็มาตายทิ้งกันไปเฉย ๆ ดิ้นรนแทบตาย ดิ้นเพื่อจะไปตายข้างหน้านี้เอง เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชใจในชีวิตมนุษย์ของเราที่ดิ้นรนวุ่นวายอยู่ไม่หยุดหย่อน เส้นทางสายนี้ทำไมมันรันทดเช่นนี้

ไปอีกทางดีมั๊ย ทางสายเอกที่พระพุทธองค์ท่านประทานไว้ "มหาสติปัฏฐาน"

Monday, November 14, 2005

สติหายไปไหน

สี่ห้าวันที่ผ่านมา สติไม่ค่อยดี กว่าจะรู้สึกตัวแต่ละครั้งใช้เวลานานมาก บางครั้งไปอยู่ในโลกของความคิดเป็นชั่วโมง กว่าจิตจะถอยขึ้นมารู้สึกตัวแต่ละครั้ง วันนึงได้แค่ร้อยกว่าครั้งเองมั๊ง ปกติไม่น้อยและทิ้งระยะนานขนาดนี้ เหตุปัจจัยคืออะไรก็ยังไม่รู้ ท่านอาจารย์เคยสอนว่า ถ้าทำอะไรแล้วสติเกิดเองบ่อย ๆ ให้ทำอันนั้นบ่อย ๆ ปกติถ้าผมล้างจานสติจะเกิดดี แต่เสียดายจานที่บ้านมีไม่ค่อยเยอะล้างแป็บเดียวก็หมด บางคนเขาเดินห้างแล้วสติเกิดดี ก็ไปเดินห้างบ่อย ๆ บางคนนั่งรถเมล์แล้วสติเกิดดีก็ไปนั่งรถเมล์บ่อย ๆ ส่วนอะไรที่ทำแล้วสติหายไปนาน ๆ ไม่ควรทำ เช่นนั่งดูละครแล้วจิตหายไปในจอทีวีเป็นชั่วโมงเลยอันนั้นไม่ควร แต่บางคนเขาดูทีวีแล้วสติเกิดดีก็มี ไม่เสมอไป แล้วแต่จริต

แต่ที่แน่ ๆ คือมันเป็นอนัตตาแน่นอน เพราะเวลามันจะดี มันก็ดีของมันเอง เวลามันจะหายมันก็หายของมันเอง ควบคุมให้อยู่ใต้อำนาจของเราไม่ได้เลย (แล้วเรานี่ใครหว่า? ในเมื่อเรามันไม่มี)