Sunday, July 31, 2005

เรื่องสำคัญคือ จิตใจ

หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเคยสอนไว้น่าประทับใจตอนหนึ่ง

อย่าปล่อยจิตใจทิ้ง ไปเลี้ยงแต่ธาตุแต่ขันธ์อย่างเดียว ธาตุขันธ์เลี้ยงไว้ เดี๋ยวมันก็แก่ ก็เจ็บก็ตายเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่จิตใจมันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
การทำมาหากินทางโลกให้ทำมาหากินพอเอามาเลี้ยงธาตุขันธ์ก็พอ เรื่องสำคัญคือจิตใจ อย่าไปละทิ้ง ทำมาหากินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงเพื่อน แค่นั้นก็พอ ถึงแม้เราบำรุงมันดีแค่ไหนซักวันเราก็จะทิ้งมันไปอยู่ดี

Tuesday, July 19, 2005

หน้าอมทุกข์

เวลาที่มีความรู้สึกตัวขึ้นมา บ่อยครั้งที่ผมเอาจิตไปสัมผัสรู้กล้ามเนื้อในส่วนของใบหน้า เพื่อที่จะดูว่าหน้าของเราในขณะนั้นเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่สัมผัสลงไปจะพบว่าใบหน้าของเรานั้นจะออกไปทางทุกข์ ๆ หมอง ๆ เศร้า ๆ ตึง ๆ หรือไม่ก็เครียด ๆ แทบไม่เคยสัมผัสเจอรอยยิ้มบนในหน้าในขณะที่ตัวเองเผลอเลย พอเห็นหน้าทุกข์แบบนั้นแล้วผมก็จะนึกถึงพระพุทธรูปขึ้นในจิตใจ พอเห็นภาพท่านยิ้ม แล้วก็จะยิ้มเบา ๆ เหมือนอย่างท่าน จิตใจจะสดชื่นและสว่างขึ้นทันที



สังเกตุดูให้ดีนะครับว่าพระพุทธรูปนั้นท่านยิ้มอย่างอ่อนโยน สดชื่น ละมุนละไม สงบ และเยือกเย็น ในชีวิตประจำวันยากมากที่จะเห็นมนุษย์ทั่ว ๆ ไปยิ้มเหมือนอย่างท่าน

เท่าที่ติดตามดูทั้งตนเองและสังเกตผู้อื่นมานานพบว่า ใบหน้าคนเรานั้นจะยิ้มในขณะที่คุยกันกับคนที่เรารู้จักหรือคุ้นเคย ส่วนเวลาที่อยู่คนเดียว ในขณะที่คิด ขณะที่นั่งอยู่บนรถประจำทาง ยืนในลิฟท์ เดินเข้าบริษัท นั่งกินข้าว อาบน้ำ ฯลฯ ใบหน้าคนเรานั้นจะออกไปทางหมอง ๆ เสมอ ยิ่งคนไหนที่กำลังอยู่ในช่วงที่ชีวิตมีความทุกข์ยิ่งจะแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน

ผมเคยนั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ สังเกตดูคนในรถทั้งคันหาคนยิ้มแทบไม่ได้ คนที่ยิ้มส่วนใหญ่ก็ยิ้มตอนที่คุยกับเพื่อนที่มาด้วยกันเท่านั้น ส่วนคนที่มาคนเดียวนั้น จะปล่อยให้ตัวเองไปอยู่ในโลกของความคิด คิดอะไรก็ไม่รู้แล้วก็เหม่อ ๆ ลอย ๆ ส่วนใบหน้าก็ปล่อยให้มันหมอง ๆ เศร้า ๆ เครียด ๆ ยิ่งถ้าวันไหนรถติดมาก ๆ แต่ละคนจะแสดงอาการกระวนกระวาย มีความทุกข์เพิ่มขึ้นบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

มนุษย์เรานั้นวิ่งหาแต่ความสุขจากข้างนอก จากเพื่อน จากคนรัก จากหนัง จากละคร จากอาหาร จากเพลง จากสิ่งของนอกกาย แต่ความสุขภายในซึ่งหาได้ง่าย ๆ มีได้ไม่จำกัด และมีให้หยิบฉวยอยู่ทั้งวันกลับหากันไม่เป็น หยิบกันไม่เป็น

ช่วงที่ผ่านมาเวลาผมรู้สึกตัว มีสติ ใบหน้าก็จะยิ้มเบา ๆ เสมอ เป็นเทคนิคการเติมความสุขให้กับชีวิต ให้กับการภาวนาไปในตัว พอเผลอปุ๊บ หน้าก็จะหยุดยิ้มและหมองทันที มีวันนึงผมไปกินเลี้ยง ช่วงที่ไม่ได้คุยกับใครผมก็จะรู้สึกตัวและก็นั่งยิ้มเบา ๆ เหมือนพระพุทธรูปท่านยิ้ม มีคนหนึ่งเขานั่งสังเกตผม แล้วก็บอกผมว่า รู้ตัวหรือเปล่าว่านั่งยิ้มอยู่คนเดียว ผมตอบว่ารู้ (เพราะผมยิ้มจากความรู้สึกตัว ไม่ได้ยิ้มเหมือนคนทั่วไปที่การนั่งยิ้มอยู่คนเดียว จะมาจากการนั่งคิดถึงเรื่องที่มีความสุขในอดีต) แล้วเขาก็ถามต่อว่าคิดเรื่องอะไรอยู่เห็นยิ้มอยู่ตั้งนาน ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เพราะถ้าผมตอบว่ายิ้มจากการรู้สึกตัว และมีสติ เขาก็คงไม่เข้าใจ ผมก็เลยตอบไปว่า ไม่ได้คิดอะไรเพียงแค่นั้น

บางวันผมนั่งอยู่บนรถประจำทางผมก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว คนอื่น ๆ ทั้งรถหน้าบึ้งกันหมดรวมทั้งคนขับด้วย สงสัยผมจะบ้าอยู่คนเดียว มีอยู่วันนึงนั่งเล่นอยู่กับย่า ช่วงที่ไม่ได้คุยกันผมก็จะนั่งยิ้ม พอมองดูหน้าย่าจะเห็นความหมองลงอย่างเห็นได้ชัด และก็ปล่อยตัวเองให้เหม่อลอย ไม่รู้คิดไปถึงไหน ผมก็นั่งยิ้มเจริญสติมองหน้าท่านอยู่นาน แล้วท่านก็รู้สึกตัวขึ้นมา หันหน้ามาทางผมเห็นผมกำลังนั่งยิ้มมองท่านอยู่ ท่านก็เลยถามแบบงง ๆ ปนกับอารมณ์ขุ่น ๆ ว่า "ยิ้มอะไร" ผมก็เลยตอบว่า "ยิ้มแบบพระพุทธเจ้า ย่ายิ้มเป็นหรือเปล่า" ดูเหมือนท่านจะงงกว่าเดิมเสียอีก พยายามอธิบายเรื่องการเจริญสติตามดูจิตให้ท่านฟัง แต่ก็ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพราะอธิบายมาหลายครั้งแล้ว ทุก ๆ ครั้งเหมือนจะเข้าใจ พอวันหลังไปถามดูก็เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่อีกรอบ

ลองดูนะครับสำหรับคนภาวนาที่ต้องการเติมความสุขเล็ก ๆ แต่ให้ผลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิต

Monday, July 18, 2005

จิตโง่

ก่อนหน้านี้เคยคิดว่่าตัวเองเป็นคนฉลาด ตั้งแต่เริ่มหัดตามดูจิตผ่านมาปีกว่า เริ่มเห็นความจริงเป็นระยะ ๆ เริ่มเห็นความจริงแล้วว่าเรานั้นแสนโง่ โดยเฉพาะจิตของเรานั้นโคตรโง่ ชอบกระโจนลงไปในอารมณ์สกปรก โสโครก เช่นชอบกระโจนลงไปในอารมณ์โกรธ โทสะ (บางครั้งก็ราคะ) พอกระโจนลงไปแล้วก็เป็นทุกข์ ทุรนทุราย ทรมาน พอหายได้ไม่นานก็หาอารมณ์สกปรกตัวใหม่กระโดดลงไปอีก แล้วไม่ยอมเข็ด อารมณ์เดิม ๆ ทุกข์แบบเดิม ๆ ทุรนทุรายแบบเดิม ๆ กระโจนลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเข็ดจักจำ กิเลสก็หน้าเดิม ๆ นั่นแหละ อย่างนี้ไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร

ยกตัวอย่างเวลาขับรถอยู่บนถนนแล้วมีคนขับรถเร็ว ๆ มาแซง หรือปาดหน้า จะเกิดอาการหงุดหงิดอยากจะเอาคืน รู้สึกเหมือนเสียศักดิ์ศรี จริง ๆ แล้วจิตมันกระโจนลงไปในอารมณ์โทสะ ถ้าพอมีสติตามดูมันบ้างจะเห็นอาการเร่าร้อนของมัน และก็ดิ้นรน จะทำนั่นจะทำนี่ เอาไฟมาเผาหัวใจตัวเองอยู่นั่นแหละ

ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเพราะส่วนใหญ่จะหลงไปกับมัน แต่พอมาเจริญสติตามดูจิตนี่เห็นชัดเจน พอมันกระโจนลงไปแล้วความร้อนความทุกข์มันจะเผาหัวใจขึ้นทันที ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา เอ้า.... โดนอีกแล้ว เอาอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เป็นแต่ไม่เคยเห็นไม่เคยมองมันในปัจจุบันขณะที่มันเกิด แต่พอมาตามสะกดรอยมันเรื่อย ๆ จึงเริ่มเห็นว่าจิตของเรานี่มันแสนโง่จริง ๆ

หลังจากจิตเริ่มรู้ว่าตัวเองโง่ มันก็เริ่มจะฉลาดขึ้นมาบ้างหาทางที่จะไม่กระโจนลงไป เปรียบเสมือนเมื่อก่อนเคยจับหินร้อน ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นไฟ ไม่รู้ว่ามันร้อน นึกว่ามันเย็น ก็จับเอาด้วยความหลงผิด แต่จับทีไรก็ร้อนทุกทีแต่มันไม่เคยสังเกตตัวเอง ไม่เคยรู้ ก็เลยไม่เคยเข็ด พอมาเจริญสติมันเริ่มรู้แล้วว่าอะไรร้อน อะไรเย็น แล้วมันก็จะพยายามเลี่ยงไม่กระโจนลงไป ตรงนี้มันเป็นของมันเองเราไม่ได้เข้าไปควบคุมมันหรอก เพราะมันควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนอนุสัยเดิมจะเยอะ คือมันรู้ตัวไม่ค่อยเร็ว ส่วนใหญ่ตอนที่รู้ตัวก็อยู่ในบ่ออารมณ์สกปรกเรียบร้อยแล้ว กำลังแช่อยู่ในบ่อของอารมณ์สกปรกนั้น ถ้าเราพยายามที่จะตะเกียกตะกายขึ้นมา ดิ้นรนเพื่อที่จะขึ้นจากอารมณ์ที่ไม่ดีนั้น เราจะทำไม่ได้ พอรู้ตัวว่าตัวเองแช่อยู่แล้วดิ้นรนจะหนีเหมือนกับยิ่งไปเติมเชื้อให้มันยิ่งไปกันใหญ่ จะมีความทุกข์แทรกขึ้นมาจากการอยากหนีจากอารมณ์เหล่านั้นอีก ในทางปฏิบัติก็คืออยู่เฉย ๆ กำลังแช่อยู่ในอารมณ์สกปรกก็รู้ว่ากำลังอยู่ แล้วไม่ดิ้นรนไม่อยากให้มันหลุด ดูขณะจิตที่มันแช่อารมณ์นั้นไปเล่น ๆ ซักพักเดี๋ยวมันก็หายเอง เพราะไม่มีอะไรคงทนอยู่ได้ถาวร หรือตลอดกาล ในที่สุดจิตก็จะขึ้นจากบ่อโสโครกได้เร็ว และขึ้นแบบสบาย ๆ ลอยตัวขึ้นมา ไม่ได้ตะเกียกตะกายด้วยความลำบากนัก

ถึงแม้จิตมันจะยังไม่ฉลาดพอที่จะไม่กระโจนลงไปในอารมณ์สกปรก แต่อย่างน้อยมันก็มีวิธีขึ้นจากอารมณ์นั้นโดยไม่ลำบากนัก นี่เป็นวิถีธรรมชาติของจิตเราไม่ต้องไปสอนมัน เพียงแค่ให้มันเห็นความจริงบ่อย ๆ ความจริงที่ง่าย ๆ นี่แหละ พอมันเห็นความจริง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ ฉลาดขึ้นมาเอง แต่ตอนเห็นต้องระวังอย่าไปเผลอคิด เพื่อสอนมันก็พอ เพราะความคิดจะไปกวนไม่ให้มันเห็นตามความเป็นจริง ถ้ามันไม่เห็นความเป็นจริงมันก็จะไม่มีวันที่จะฉลาดขึ้นมาได้

กำลังใจ

ช่วงนี้หลวงตามหาบัวท่านอยู่ที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่สวนแสงธรรม ตอนเย็น ๆ ทาง www.luangta.com จะมีถ่ายทอดสดผ่าน อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ก็เลยมีโอกาสได้ฟังธรรมหลวงตาสด ๆ พร้อมทั้งห็นภาพด้วย ส่วนใหญ่ท่านก็เทศน์สอนญาติโยมธรรมดาไปเรื่อย ๆ และก็มีคนนำทอง และก็เงินมาถวายท่านเป็นระยะ เพื่อสมทบผ้าป่าช่วยชาติ และก็ช่วยเหลือสังคมส่วนอื่น ๆ

เมื่อวันก่อน (ศุกร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘) มีพระเข้าไปหาท่านท่านก็เลยเทศน์เรื่องเกี่ยวกับพระหลาย ๆ เรื่อง เช่นเรื่องอดนอนผ่อนอาหาร ท่านก็อธิบายว่าพระที่ท่านปฏิบัติท่านทำไปทำไม จะไม่ขัดกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เดินทางสายกลางหรอกหรือ ท่านก็อธิบายว่า ที่อดไม่ได้อดเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการบรรลุมรรคผลไม่ได้เกิดเพราะการอดหรือบำเพ็ญตบะ แต่สาเหตุที่พระท่านอดนอนผ่อนอาหารเพราะว่า ต้องการลดราคะ เพราะถ้าหากเรากินอาหารอุดมสมบูรณ์ร่างกายมันก็พร้อม ราคะมันก็มีกำลังเยอะ กิเลสมันก็มีกำลังเยอะ ถ้าเราอด ๆ บ้างกำลังของราคะมันลด มันทำให้จิตใจมั่นคงมากขึ้น เป็นสมาธิมากขึ้น แล้วก็ทำให้ต่อยอดได้ดี ทำให้การภาวนาเจริญก้าวหน้าได้ แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คน

มีอีกตอนท่านเล่าให้ฟังถึงความมุ่งมั่นในการภาวนาของท่านให้ฟังว่า ตอนที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ก็จะมีหลายครั้งหลายคราที่ลาหลวงปู่มั่นขึ้นเขาไปภาวนาอยู่บนเขาคนเดียว ท่านบอกว่าขึ้นเขาเหมือนกับขึ้นเวทีชกมวย ขึ้นไปครั้งแรกกิเลสมันถีบทีเดียวตกเขา เพราะว่าเรามันมวยบ้าน มวยหัดใหม่ แต่กิเลสมันแชมป์โลก เพราะมันครองอยู่บนหัวใจเรามานาน พร้อมทั้งครองอยู่บนหัวใจคนทั้งโลกด้วย มันช่ำชองเก่งกาจมาก คนที่จะสู้มันได้หายากเต็มที ท่านบอกว่าต้องทุกข์ทรมานมากตอนที่โดนมันเล่นงาน จำไม่ลืม ขึ้นชกยกแรกโดนมันเตะเอาทีเดียวกระเด็นตกเวทีเลย แล้วก็ลงเขามาหาพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่น ท่านก็สอนแนะนำใหม่ ก็ขึ้นเขาไปใหม่ พอขึ้นไปรอบสองก็โดนมันถีบอีก กระเด็นอีก กิเลสนี่มันเก่งจริง ๆ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ลงเขามาใหม่ แล้วก็ขึ้นไปใหม่ ตั้งหลายรอบ ทุก ๆ รอบก็จะโดนกิเลสเล่นงานลงมาทุกรอบ สู้มันไม่ได้เลยแบบชั้นเชิงมันคนละชั้น แต่อยู่มาวันหนึ่งท่านบอกว่าซัดมันหน้าหงายไปหนึ่งที อ้าว มึงก็หน้าหงายเป็นเหมือนกันเหรอท่านบอก ทำให้ท่านมีกำลังใจมากขึ้นเพราะเห็นกิเลสมันหน้าหงายไปทีนึง ทำให้มีกำลังใจสู้ ใช้อรรถใช้ธรรมสู้กับกิเลสอย่างมุ่งมั่น ท่านบอกว่าหลังจากนั้นก็อัดกันเรื่อยมาตลุมบอลกัน ระหว่างกิเลสกับธรรม ไม่ถอย จิตใจก็หมุนติ้ว ๆ สุดท้ายวันนึงซัดกิเลสลงไปนอนไม่ลุกขึ้นมาเลย จิตใจก็สว่างไสวไปด้วยอรรถด้วยธรรม
นั่งฟังเรื่องที่ท่านเล่าแล้วมีกำลังใจ เป็นสิ่งช่วยเสริมกำลังใจให้ปฏิบัติภาวนา ใจมันฮึกเหิม อีกอย่างองค์ท่านก็บอกกล่าวสำหรับผู้ที่สงสัยในมรรคผลนิพพานว่า ท่านเป็นพยาน มรรคผลนิพพาน มีจริงท่านทำได้แล้ว พ้นทุกข์ทางใจสิ้นเชิงแล้ว และก็นั่งเป็นพยาน เป็นกำลังใจให้กุลบุตรผู้มาทีหลังให้ก้าวเดินด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องลังเลสงสัย มรรคผลนิพพานยังไม่หมดสมัย มีอยู่จริง ขอให้มุ่งมั่นทำไปเถอะจะประสบผลสำเร็จสักวัน

ท่านอาจารย์ปราโมทย์ ก็เคยบอกว่า ให้ปฏิบัติไปเถอะ ถ้าวันไหนจิตมันตื่นขึ้นมา มันจะสว่างไสวอยู่ทั้งวัน ความทุกข์มันจะหายไป นี่ก็เป็นกำลังใจที่สำคัญอีกอันหนึ่งเหมือนกัน

เรานั้นโชคดีที่มีผู้ปฏิบัติได้ผลล่วงหน้าไปก่อนแล้วมาให้คำแนะนำสั่งสอน ถ้ามามั่วเอาเอง ทำไปจนตายก็คงยังไม่ถึงไหน ถึงแม้ว่าพระบางองค์เราจะไม่ได้เห็นท่านไม่รู้จักท่าน แต่ท่านเหล่านั้นก็เป็นกำลังใจให้เราก้าวเดินในทางธรรมนี้อย่างมุ่งมั่น ว่าสักวันเราจะก้าวข้ามฝั่งไปได้เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายที่ท่านก้าวข้ามไปกันแล้ว เหมือนกับท่านว่ายน้ำข้ามไปก่อนแล้วยืนอยู่บนฝั่งเป็นกำลังใจให้เราผู้ซึ่งตะเกียกตะกายว่ายตามท่านผู้เจริญเหล่านั้นไป ซักวันหนึ่งเราคงขึ้นฝั่งได้เหมือนท่าน