Saturday, October 30, 2004

วันที่ 48 ชาวโคราชถามหลวงปู่มั่น

ชาวโคราชถามปัญหาหลวงปู่มั่น

อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป

ชาวโคราช เท่าที่ท่านอาจารย์มาโคราชคราวนี้ เป็นการมาเพื่ออนุเคราะห์ประชาชนตามคำนิมนต์เพียงอย่างเดียว หรือยังมีหวังเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยในการมารับนิมนต์คราวนี้

หลวงปู่มั่น อาตมาไม่หิว อาตมาไม่หลง จึงไม่หาอะไรให้ยุ่งไป อันเป็นการก่อทุกข์ใส่ตัว คนหิวอยู่เป็นปกติสุข ไม่ได้จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่คำนึงว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผา ตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ อาตมาไม่หลงจึงไม่แสวงหาอะไร คนที่หลงจึงต้องแสวงหา ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะไปหาให้ลำบากทำไม อะไร ๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้วจะตื่นเงาและตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่าเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้ง ๔ ก็มีอยู่ภายในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว และรู้อย่างหมดสิ้นแล้ว จะหาอะไรกันอีกถ้าไม่หลง ชีวิตลมหายใจยังมีและผู้มุ่งประโยชน์กับเรายังมี ก็สงเคราะห์กันไปอย่างนั้นเอง คนหาคนดีมีศีลธรรมในใจนั้นหายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเป็นไหน ๆ ได้คนดีเพียงคนเดียวย่อมมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นล้านๆ เพราะเงินเป็นล้านๆไม่สามารถทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้อย่างถึงใจ เหมือนได้ คนดีมาทำประโยชน์คนดีแม้เพียงคนเดียวยังสามารถทำความเย็นใจให้แก่โลกได้มากมายและยั่งยืน เช่น พระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง คนดีแต่ละคนมีคุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกอง และเห็นคุณค่าแห่งความดีของตนที่จะทำต่อไปมากกว่าเงิน แม้จะจนก็ยอมจน ขอแต่ให้ตัวดี และโลกมีความสุข แต่คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิดถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนชิปหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยวคนดดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรม คือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้ อย่าทำให้สายเกินไป จะหมดทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่างนั้น ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์ อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งเบาแบ่งหนักกันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรม

ชาวโคราช ขอประทานโทษพวกกระผมเคยได้ยินกิตติศัพท์กิติคุณท่านอาจารย์โด่งดังมานานแล้ว ไม่ว่าครูอาจารย์หรือพระเณรองค์ใดตลอด ฆราวาส ใครพูดถึงอาจารย์ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์มิใช่พระธรรมดาดังนี้ จึงกระหายอยากฟังเมตตาธรรมท่าน แล้ว จะได้เรียนถามไปตามความอยากความหิว แต่ไม่มีความฉลาดรอบคอบในการถามซึ่งอาจจะทำความกระเทือนแก่ท่านอยู่บ้าง กระผมก็สนใจปฏิบัติมานานพอควร จิตใจนับว่าได้รับความร่มเย็นประจักษ์เรื่อยมา ไม่เสียชาติที่เกิดมาพบพระศาสนาและยังได้ กราบไหว้ครูอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์วิเศษด้วยการปฏิบัติธรรม แม้ปัญหาธรรมที่เรียนถามวันนี้ก็ได้รับความแจ้งชัดเกินคาดหมาย วันนี้เป็นหายสงสัยเด็ดขาดตามภูมิของคนมีกิเลสที่ยังอยู่ก็ตัวเองเท่านั้นจะสามารถปฏิบัติให้ได้มากน้อยเพียงใด
หลวงปู่มั่น โยมมาถามอย่างนั้นอาตมาก็ต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะอาตามาไม่หิวไม่หลงจะให้อาตมาไปหาอะไรอีก อาตมาเคยหิว เคยหลง มาพอแล้ว ครั้งปฏิบัติที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรโน้น อาตมาแทบตายอยู่ในป่าในเขาคนเดียวไม่มีใครไปเห็นจนพอลืมหูลืมตาได้ บ้าง จึงมีคนนั้นไปหาคนนี้ไปหา แล้วร่ำลือกันว่าวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะอาตมาสลบสามหนรอดตายครั้งนั้นไม่เห็นใครทราบและร่ำลือบ้าง จนเลยขั้นสลบและขั้นตายมาแล้ว จึงมาเล่าลือกันหาประโยชน์อะไร อยากได้ของดีที่มีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอาทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงพากันวุ่นวาย หานิมนต์พระมาให้บุญ กุสลามาติกา นั่นไม่ใช่เกาถูกที่คันนะจะว่าไม่บอก ต้องรีบเกาให้ถูกที่คันเสียบัดนี้ โรคคันจะได้หายคือเร่งทำความดีเสียแต่บัดนี้จะได้หายห่วงหายหวงกับอะไรอะไรที่เป็นสมบัติของโลกมิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา แต่พากันจับจองเอาแต่ชื่อของมันเปล่า ๆ ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ ข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาด และความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละรายท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายสรณะของพวกเราจะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตามทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจน ตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ อาตมาต้องขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนให้คนละชั่วทำดียังจัดเป็นคำหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนาเพราะไม่มีผู้ ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคนทำให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมัน แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนที่หยาบคายนับว่าเป็นโรคที่หมดหวัง

ได้ข่าวหลวงพ่อเพิ่ม วัดป่าสาละวัน ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย มีญาติโยมกับพระจำนวนหนึ่งบุกไปกุฏิของท่านตอนตีสองกว่า พบสีกาอยู่ในกุฏิ พร้อมทั้ง มีวีดีโอถ่ายไว้เป็นหลักฐาน แต่ท่านเองก็ปฏิเสธ เรื่องนี้จะจริงฉันใดก็ยังไม่ทราบ ถ้าจริงก็เป็นกรรมของท่านเองที่ทำไว้ก็เลยได้รับผลอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่จริง ก็เป็นผลกรรมเหมือนกัน แสดงว่าอาจจะเคยทำกรรมมาในอดีตก็เลยได้รับผลให้โดนใส่ร้ายอยู่ในขณะนี้ สรุปแล้วยังไงก็เป็นกรรมอยู่ดี ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ จิตใจเราก็ไม่ควรไปยึดติดนึกคิดอะไร ให้ดูที่ใจของตัวเองดีกว่า ไม่ต้องส่งออกไปคิดปรุงแต่งอะไรให้วุ่นวายสับสนเปล่า ๆ เอาให้ใจตนเองสงบร่มเย็นก็พอแล้ว
หมายเหตุ: ภายหลังทราบว่าเป็นการกลั่นแกล้งท่าน

Thursday, October 28, 2004

วันที่ 46 สัปดาห์แห่งการชำระศีล

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ปลอดโปร่งในใจเพราะสิ่งที่กังวลคืองานที่ทำให้หัวหน้าไม่ทัน และเรื่องอื่น ๆ อีกแต่พบว่าทั้งแผนงานของหัวหน้าและคนอื่น ๆ ที่จะเป็นสิ่งทำให้กังวลไม่มาอยู่ใกล้เราเลยคงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา ก็จะถือโอกาสนี้ชำระงาน และศีลทุกอย่างให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพื่อเป็นส่วนสำคัญทีสุดของกำลังใจ ในการปฏิบัติ เป็นด้วยบุญจริง ๆ รู้สึกอย่างนั้น

วันนี้ความเบากายเบาใจ ยิ้มได้อย่างมีความสุขแบบเบา ๆ ไม่หนัก จิตใจก็ไม่สับสนวุ่นวายมากนัก เป็นวันที่ดีวันหนึ่งเลยทีเดียว

ศีลข้อที่มีปัญหามากที่สุดคือ มุสา แม้การพูดเล่น การหยอก เล่นมุข การโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะกลัวโดนว่า พวกนี้ต้องระวังให้มากเพราะมันเคยชิน ส่วนใหญ่จิตใจของเรามันจะ โกหกไปอัตโนมัติ เพื่อเอาตัวรอด เตาต้องมีสติให้ไว ถ้าจะพูดต้องพูดความจริง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดเลยดีกว่า

Wednesday, October 27, 2004

วันที่ 45 อ่านหนังสือก็ส่งจิตออกนอก

อย่างส่งจิตออกนอกเรือนกาย ถ้าจะปฏิบัติจริง ๆ ต้องทำอย่างนั้น การอ่านหนังสือ การเขียนหรือพิมพ์หนังสือ เหล่านี้ล้วนเป็น การส่งจิตออกนอกทั้งนั้น ออกไปอยู่กับหนังสือเหล่านั้นแหละ ถ้าช่วงเวลาที่จะต้องทำกันเอาจริงเอาจังคงต้องงดเรื่องพวกนี้จริง ๆวันนี้หลังเลิกงานรู้สึกว่าสติสดใสดีเพราะเกิดมีสติอัตโนมัติถี่มาก

Sunday, October 24, 2004

วันที่ 42 - 44 ไปอยู่ที่วัดป่านาล้อม

ออกเดินทางจากบ้านแฟนตีห้าไปถึงวัดหกโมงกว่า ๆ หลวงตาให้หนังสือ ประวัติของหลวงปู่จันทา ถาวโร ให้มาอ่านเนื้อหาค่อนข้างดีเรื่องความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม แล้วก็มีรูปการผ่าศพ ในลักษณะต่าง ๆ ให้ดู เพื่อพิจารณาอสุภกัมถาน แล้วท่านก็ให้ไปอยู่ที่กุฏิถัดจากกุฏิของท่านออกไป ซึ่งติดกับเมรุเผาศพแต่สร้างยั้งไม่เสร็จ ต้องเผากันข้าง ๆ เมรุก่อน เมื่อเข้าก็พึ่งเผาเสร็จและเก็บกระดูกไปหนึ่งศพ รอยเผายังเห็นอยู่เลย นังสมาธิภาวนา สลับกับอ่านหนังสือ ท่องคำขอบรรพชา พอตอนเย็นก็ออกไปตีตาด (กวาดลานวัด) พยายามมีสติทุกอิริยาบถ ไม่สุงสิงยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่คุยกับใครเพราะเวลาคุยยังคุมสุติไม่ได้ พยายามอยู่คนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเพราะชีวิตข้างนอกนั้นยุ่งกับคนมาพอแล้วที่มาแสวงหาสถานที่นี้ก็เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก พอตกเย็นก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปหาหลวงตาที่โรงฉันน้ำร้อน มีพระท่านให้ยาร้อนมาทาน ทานเข้าไปแล้วรู้สึกร้อนท้อง แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นอาหาร คงขึ้นอยู่กับเจตนาของคนทานถ้าทานเพราะหิวก็ผิดทั้งนั้น แต่ถ้าทานเพื่อเป็นยาจริง ๆ ยังไงก็คงไม่ผิด แต่เรากิเลสยังท่วมหัวคิดว่าต่อไปจะไม่กินอีกแล้ว

พอมืดก็เดินกลับกุฏิเห็นความมืดแล้วเกิดความกลัวขึ้นมาเพราะที่นี่เป็นป่าช้า หลวงตาท่านพึ่งมาอยู่ เดินมาถึงกุฏิก็สวดมนต์ไหว้พระ ตามปกติในชีวิตประจำวัน แต่จะเพิ่มส่วนของการอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่แถวนั้นเป็นพิเศษ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิ นั่งได้ชั่วโมเดียวง่วง ก็เลยลงมาเดินจงกรม ตอนที่เดินนั้นมีความกลัวเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลาเพราะทางเดินนั้น อยู่ติดกับเมรุ แล้วก็รอยที่เขาเผาศพนั้นก็อยู่ห่างจากปลายทางจงกรมประมาณ 20 – 30 เมตรเท่านั้นเอง แล้วเงียบมาก ได้ยินเสียงใบใม้หล่นก็ตกใจแล้ว เดินอยู่ด้วยความกลัว สลับกับพุทธ โธ เป็นระยะ รู้แล้วว่าการภาวนาพุทธโธนั้นสำคัญ สำหรับพระใหม่อย่างไร เพราะตอนอยู่ในป่าช้านั้นความกลัวมีมาก อานาปานสติ เอาไม่อยู่ เพราะมันกลัว แต่พอท่องพุทธโธแล้วมีความอุ่นใจเกิดขึ้น เป็นคำที่เหมาะสมกับการภาวนาสำหรับผู้ที่มีความกลัวจริง ๆ เดินได้หนึ่งชั่วโมง ก็กลับขึ้นมานั่งสมาธิต่ออีกนิดหน่อยแล้วก็เข้านอน

ตื่นมาประมาณตีห้านั้งสมาธิแล้วก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน ไปกวาดลานวัด พอพระท่านไปบิณฑบาตรกลับมาท่านให้ลองกินในภาชนะใบเดียวดู พยายามมีสติ และกินให้สำรวมมากที่สุด ขณะกินเกิดบางอย่างขึ้นกับใจโดยอัตโนมัติ ตอนที่กัดข้าวเหนียวเข้าไปในปากครึ่งหนึ่ง แล้วก็เหลืออยู่ที่มีครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่านี่ไม่ถูกต้องเพราะมันขัด ๆ แล้วก็กินกล้วย การกินกล้วยพอกัดแล้วก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ถูกอย่างไร พอตอนบ่ายก็เลยมาได้คำตอบจากการอ่านหนังสือของหลวงปู่จันทา ถาวโร ท่านบอกว่า ข้าวตกจากปากลงไปในบาตรจะทำให้ข้าวในบาตรทั้งหมดเป็นเดนทันที ถ้ากินต่ออาบัติทุกคำกลืน การกัดข้าวเหนียวก็เหมือนกัน กัดกล้วยก็เหมือกัน ส่วนที่เหลือมันเป็นเดน กินคำต่อไปอาบัติ ทานให้แบ่งให้พอดีคำแล้วค่อยเอาเข้าปาก ซึ่งจะทำให้เจริญสติได้ดีมาก พระวินัยทุกข้อ ล้วนเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ เพื่อ สติ เพื่อสมาธิ เพื่อ สำรวมกาย ทั้งนั้น เป็นพระจะทำอะไรต้องระวังให้มาก ถ้านั่งฉันข้าวแล้วคุยกันก็ผิดเพราะกินไปด้วยคุยไปด้วย อาจจะไปรบกวนพระรูปอื่นที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ ต้องตั้งใจระวังให้มาก สิ่งที่ได้รู้อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อจิตใจพยายามทำศีลใหบริสุทธิ์แล้ว พอจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องมันจะรู้สึกขัด ๆ เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่บางครั้งไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีศีลข้อนี้อยู่ นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งในการรักษาศีล

กลางวันทั้งวันไม่สุงสิงกับใคร ทำสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง ท่องคำของบรรพชาบ้าง พอตกเย็นก็ทำสมาธิแล้วก็ไปเดินจงกรมเหมือนเดิม แต่เที่ยวนี้กลัวกว่าเมื่อวานอีก เดินได้เพียง ยี่สิบนาทีก็ขึ้นไปบนกุฏิเพราะสู้ความกลัวไม่ไหว ต้องไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ทำสมาธิ พอทำไปสักระยะก็เลยง่วงนอน ก็เปลี่ยนมาเจริญสติตามวิธีการของหลวงพ่อคำเขียน เสร็จแล้วก็ได้ตามดูจิต พบว่าตอนที่ลงไปเดินนั้นพยายามทำสมถะแต่มันทำลำบากเพราะมีความกลัวอยู่มาก ตอนนี้ก็เลยดูอาการของจิตและตามดูความคิด รู้สึกว่าความกลัวหายไปเยอะเพราะเป็นการดูอาการของจิต ก็เลยลงไปเดินจงกรมใหม่อีกรอบความกลัวหายไปเยอะแต่ยังมีอยู่ เดินไปเดินมาก็พอได้ ก็เลยคิดว่าจะไปเดินใกล้ ๆ ข้าง ๆ ที่เขาเผาศพเลย แล้วถ้ามันกลัวมากจะไปนั่งติดกับรอยที่เขาเผาศพเลย แต่ปรากฏว่าไม่กล้าไปเพราะ เกิดความรู้สึกว่าศีลของเรายังมีด่างพร้อยอยู่ยังไม่ดีพอ ถ้าศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยจะทำให้มีความกล้าเต็มร้อย และไม่มีความกังวล เหมือนมีเกราะคุ้มกันเราอยู่ เรื่องนี้สำคัญมากกลับไปเที่ยวนี้ต้องเอาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะถ้าศีลด่างพร้อยแม้นิดเดียวก็ไม่ดีเสียแล้ว ก็กังวลเสียแล้ว

ตื่นเช้ามาตีสี่ก็ยังมีความอยากที่จะไปเดินจงกรมที่ข้างเมรุอยู่แต่ความกลัวก็ห้ามไว้ ก็เลยนั่งสมาธิอยู่ในกฏิ พอเช้าก็ออกไปกวาดลานวัดพอกินข้าวเสร็จแฟนก็มารับ ออกไปที่เขากวนข้าวทิพย์ เป็นป่าช้าอีกที่หนึ่งซึ่งหลวงตาท่านไปบุกเบิกพยายามสร้างวัดเหมือนกัน แต่ยังรกอยู่มากแล้วเป็นป่ามากกว่าที่นาล้อมเสียอีก หลวงตาบอกว่าถ้าบวชแล้วจะส่งมาภาวนาอยู่ที่นี่ คิดหวั่นอยู่ในใจ เพราะที่นี่น่ากลัวกว่ามาก ไม่เป็นไรถ้าต้องมาก็ต้องมา หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไป ภูจ้อก้อ ไปดูวัดของหลวงปู่หล้า เพราะเคยอ่านแต่หนังสือท่าน ก็ประทับใจพอสมควร ถ้าบวชแล้วจะมาขอพักอยู่ที่นี่สักอาทิตย์คงจะดี ก่อนหน้านี้อยู่ที่บ้านที่ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาภาวนาอยากจะมีเวลาภาวนามาก ๆ พอมาอยู่วัดเวลาเหลือเฟือเยอะมาก จนรู้สึกว่าเยอะเกินไปเพราะไม่ต้องทำอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียวตั้งแต่ตื่นจนนอน เกิดความรู้สึกว่าเราจะอยู่ได้หรือ ถ้าภาวนาไปแล้วไม่ก้าวหน้าคงจะอยู่ลำบางและอึดอัดมากเลย ถ้าเราทำได้เหมือนกับสมัยหลวงปู่มั่นท่านเริ่มภาวนาแล้วเห็นความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ คงจะมีความสุขกับสมณะเพศมากเพราะวันทั้งวันเป็นเวลาภาวนาหมด แต่ถ้าทำไม่ได้จะเกิดความเบื่อมาก เราอยู่บ้านก็ร้อน ๆ อยากออกไปหาความสงบ พอไปเจอความสงบก็สงบมากเสียจนใจหาย ใจของเราคงกำลังก้ำกึ่งอยู่จะอยู่ฝั่งไหนก็รู้สึกอึดอัด แต่ถ้าใจของเราเป็นพระจริง ๆ เข้าใจว่าอยู่ที่บ้านคงร้อน ไปอยู่กับความสงบคงเย็น ไร้คืนไร้วันกาลเวลามาบีบกายใจ ต้องฝึกจิตใจให้ได้ถึงขั้นนั้นให้ได้

Friday, October 22, 2004

นที่ 40 บุกรังกิเลส

ความอยากสอนธรรมะก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง พิสูจน์ได้จากกิเลสมันเอาไฟมาเผาเรา เหมือนหลวงปู่มั่นท่านว่าไว้จริง ๆ “เผลอไม่ได้มันเอาไฟมาเผาเรา” ตอนที่สอนหรือเล่าให้เขาฟังแล้วเขาฟังนั้นมันก็ดีหรอก เพราะมันมีความยินดีเป็นสุข เขาก็คงมีความสุข (หรือเปล่าไม่รู้) อันนี้ไม่เป็นปัญหา จะมีกิเลสหรือเปล่ามองไม่ออก มีหรือไม่มีก็ไม่สำคัญเท่าไรนักเพราะผลคือมันเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไรที่มันไม่ได้สอน คือมันตั้งใจว่าจะสอนแล้วไม่ได้สอน จิตมันจะพลิกเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เห็นขึ้นมาทันใด จิตจะเร่าร้อนทันที นั่นไงเห็นแล้วกิเลสมันกำลังเอาไฟเผาเรา ร้อนทันที เห็นทันทีเหมือนกัน การอยากสอนธรรมะมีความทุกข์อยู่สองชั้นคือ ก่อนสอนจะกังวลคิดหลายรอบ พยายามหาคำมาอธิบายให้เข้าใจ คิดวนไปวนมาฟุ้งซ่าน นี่เป็นเหตุทำให้จิตไม่สงบหนึ่ง และถ้าไม่ได้สอน คือไม่สมใจอยากของมันมันก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันทีอีกหนึ่ง
การเสพเมถุนเป็นทางเสื่อมแห่งการภาวนาจริง ๆ ตอนนี้จิตก็ไม่ค่อยมีความต้องการเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่บางอย่างก็ต้องทำไปตามหน้าที่ของปุถุชนชาวโลก เพราะถ้าไม่ทำจะเกิดความทุกข์ในการอยู่ร่วมกับคู่ครองกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก วุ่นวายอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น หลังจากการเสพเมถุนแล้วร่างกายจะไม่ค่อยมีกำลัง สติก็จะไม่หนักแน่น เป็นลอย ๆ เหม่อ ๆ จิตจะออกไปทางเหม่อลอยเสียมากกว่า เป็นการเหมาะสมที่สุดแล้วที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติห้ามไว้ สำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิต ซึ่งต้องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
เพลงเหมือนเดิมแต่จิตที่ฟังเปลี่ยนไปทำให้เพลงเปลี่ยนไป ฟังเพลงหลวงปู่มั่นมาหลายรอบเห็นอาการของจิตทีมีผลต่อเพลง ตอนที่อารมณ์ดี ๆ ใส ๆ ก็จะฟังเพลงได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ถ้าอารมณ์ขุ่นก็จะได้อีกแบบหนึ่ง ถ้าอารมณ์มีกิเลสมาก ๆ ต้องการอะไรบางอย่างมาก ๆ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จิตมันปรุงแต่งหาความแน่นอนไม่ได้จริง ๆ
ตั้งใจปฏิบัติมาพอสมควร ก็ไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้จะตามใจกิเลสเสียส่วนใหญ่ ทำตามแล้วก็ดูมัน แต่กิเลสนี่มันแสบจริง ๆ มันเอาไฟมาเผาเราอยู่เรื่อย บางวันสองสามเรื่อง แต่ละเรื่องไม่รู้กี่รอบเผาจนเกรียมไปหมดแล้ว บางวันหนักหน่อยเป็นสิบเรื่อง ยังไม่เจอเลยสักวันที่มันไม่เล่นงานเรา ตั้งรับกันมานานพอสมควร เราก็รับแล้วก็แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ตอนนี้เอาใหม่ไม่ยอมให้มันรุกเราเพียงฝ่ายเดียวแล้วต้องโต้ตอบบุกเผารังของมันตามคำสอนครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น จะปล่อยให้มันย่ำยี เหยียบย่ำ เยาะเย้ย ทำร้าย เราฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องเอาคืนบ้าง ไหน ๆ ก็ประกาศสงครามกันแล้ว จะตั้งรับฝ่ายเดียวปล่อยให้กิเลสมันมาเคาะประตูหน้าบ้านเราอยู่ฝ่ายเดียว รักตัวกลัวตาย เห็นจะไม่ใช่ชายชาตินักรบ นักรบของพระพุทธเจ้าต้องกล้ายิ่งกว่านักรบของกองทัพใด ๆ ในโลก เพราะกองทัพของเราคือกองทัพธรรม ต้องต่อสู้กับกิเลสซึ่งมีกำลังมากมายมหาศาล ครอบครองหัวใจของมนุษย์ทั้งโลก มันควบคุมโลกทั้งโลกอยู่สร้างความเดือดร้อนให้โลกอยู่ตลอดเวลา เราเป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม มีพระนิพพานเป็นแดนชัย มีใจเป็นแดนรบ ต้องกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กิเลสไม่ว่าจะตัวใหญ่ตัวเล็กตัวน้อยต้องเผชิญหน้ากับมันจัดการให้ราบคาบ เอากันให้ตายไปข้าง มันไม่ตายเราก็ตาย ถ้ามัวแต่หดหัวกลัวกิเลสกลัวตายอยู่ หวังจะให้มันอ่อนกำลังตายไปเองอีกกี่ชาติจึงจะชนะ มีแต่มันจะย่องมาเขกหัวเราข้างในบ้าน ต้องเอามันคืนบุกรังของมัน จิตใจต้องเด็ดเดี่ยว อะไรที่เป็นกิเลสต้องไม่ทำตามมัน ต้องทรมานมัน เอาให้ถึงที่จนกว่ามันจะยอม
ขณะเดินกลับจากห้างเดอะมอลล์โคราช เพื่อกลับที่พัก โดยปกติจะไม่ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะ ถือโอกาสเดินเพื่อปฏิบัติธรรมไปด้วย ขณะเดินเกิดสติที่เห็นเท่าทันขึ้นมาในระหว่างเดินนั้น ทำให้เข้าใจว่าความเป็นปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร ความเป็นปัจจุบันนั้นสั้นมาก สั้นจนไมสามารถจะกำหนดระยะเวลาได้แต่สัมผัสได้ด้วยจิตที่มีสติที่สดใสมาก ๆ ก่อนหน้านี้ที่ตามดูจิตมา จะเป็นการตามแบบห่าง ๆ คือพยายามตามดูว่ามันคิดอะไร พอมันเริ่มต้นคิดจนกระทั้งจบเราจะไม่รู้ขณะจิตนั้น พอมันคิดจบตัวรู้จะเกิดขึ้นตามมาทีหลังบางครั้งก็มีอย่างอื่นมาแทรกบางครั้งก็ไม่มี แล้วตัวรู้ก็จะดับไป แล้วก็จะเกิดความคิดใหม่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ คือส่วนใหญ่ความคิดจะเกิดขึ้นจนจบ ตัวรู้ค่อยจะตามมา หรือเกิดไปสักระยะหนึ่งแล้วตัวรู้ก็แทรกขึ้นมา พอตัวรู้แทรกขึ้นมาความคิดก็ดับลง จะเป็นอย่างนี้ อันนี้เข้าใจว่าเป็นการเอาสติตามแบบห่าง ๆ บางครั้งก็เกิดการพยายามจะเอาสติไปดักหน้าความคิด คือมีตัวอีกตัวหนึ่งไปดักดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น จ้องดูจิตอยู่ พอจิตคิดไอ้ตัวที่ดักอยู่นี้ก็กระโดดไปจับความคิดทันที อันนี้ก็ไม่ถูกเพราะตัวที่ดักนี้ก็เป็นอาการของจิตอีกแบบหนึ่งซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันพยายามจะไปจับคนอื่น แต่มันจะไม่รู้ตัวมันเองมันไม่เห็นตัวมันเอง เข้าใจว่าการดักนี้ก็เป็นโมหะอีกตัวหนึ่ง ทั้งการดักและการตามไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การปฏิบัติก็ต้องเริ่มมาจากลักษณะนั้นก่อน สิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่เรียกว่าสติ หรือมหาสตินั้นน่าจะเป็นการรู้ที่เกิดขึ้นทันทีไปพร้อม ๆ กับความคิดแล้วก็ดับลงไปพร้อม ๆ กัน สติจะต้องเข้าไปแทรกอยู่หรือเป็นเหมือนอันหนึ่งอันเดียวกันกับความคิด เรื่องนี้สามารถเอาไปตรวจทานดูขณะทำกายคตาสติก็ได้ เพราะเมื่อตอนบ่ายนั่งอยู่ที่บริษัทแล้วยกแขนขึ้นงอเข้ามาแล้วยืดออก สตินั้นตามไปทุกกระเบียดนิ้วแม้เศษเสี้ยววินาทีแล้วก็ดับลงไปในทุกเศษเสี้ยววินาทีเหมือนกัน ต่อไปต้องพยายามทำสติตัวนี้ให้มาก ๆ วันนี้เป็นวันแรกที่ทำได้ ถึงแม้จะเพียงไม่กี่ขณะจิตก็เถอะ

Thursday, October 21, 2004

วันที่ 39 ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย

ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย (เล่ม ๗)
[๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรม ของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความประกอบ ไม่ใช่เพื่อความพราก
เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม
เป็นไป เพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด
เป็นไป เพื่อความเกียจคร้าน ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์
ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ
เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม
เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก
เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่ เพื่อความเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ

สังขิตตสูตร (เล่ม ๒๓)
[๑๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่หม่อมฉันซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก
เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ
ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก
เป็นไปเพื่อสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ

Wednesday, October 20, 2004

วันที่ 38 ทำผิด

บางครั้งเราก็ทำผิดทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันผิด แล้วก็มากังวลเรื่องผลของกรรมที่จะตามมา สิ่งที่พอจะทำได้ไม่ทำร้ายตัวเองก็คือยิ้มรอรับผลกรรมอย่างเต็มใจ เพราะยังไงเสียก็หลีกไม่พ้นอยู่แล้ว ลองทำดูพบว่าทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นนะ

Monday, October 18, 2004

วันที่ 36 สาเหตุที่ตถาคตประพฤติพรหมจรรย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้
เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้
เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้
โดยที่แท้ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ

Sunday, October 17, 2004

วันที่ 35 ทางไปพรหมโลก

ช่วงนี้ไม่ได้ทำการบันทึกเนื่องจากงานค่อนข้างเยอะต้องตื่นตีห้ามาทำงานที่ค้างอยู่ แล้วไปทำงาน กลับมาก็เอางานมาทำที่บ้านด้วย ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จก่อนไปบวชจะได้ไม่ต้องมีห่วง มีกังวล ยังพยายามติดตามลมหายใจ และมีสติทุกอิริยาบถเหมือนเดิม แต่ไม่ค่อยเห็นความก้าวหน้าเท่าไรนัก

ทางไปพรหมโลก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรวาเสฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้วอยู่ ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

Monday, October 11, 2004

วันที่ 29 ตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีในพระไตรปิฎก

ช่วงหลัง ๆ พออ่านหนังสือเล่มอื่นแล้วพยายามจะตรวจทานพระไตรปิฎกอีกรอบหนึ่ง เพื่อความแน่ใจเพราะกลัวว่าหนังสือบางเล่มบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้จริงหรือเปล่า สิ่งที่พอจะตรวจทานได้ก็คือการตรวจกับพระไตรปิฎกนั่นเอง

Saturday, October 09, 2004

วันที่ 28 พิจารณาธรรม

รูสึกตัวก่อนตีห้าแต่ไม่ลุกไม่ดูนาฬิกา พอได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือปลุกค่อยลุก มาหุงข้าวกล้องแล้วขึ้นไปเดินจงกรม แต่เดินได้ไม่นานเหมือนทุกวันเพราะปวดท้องก็เลยลงมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวไปวัดป่าสาละตามปกติ ซึ่งไม่ได้ไปมาหลายสัปดาห์แล้วเพราะไม่ได้อยู่ที่โคราช

พิจารณาธรรม เรื่องสภาวะแห่งนิพพานอยู่ หลายชั่วโมง ความเข้าใจในระดับสัญญาคิดว่าเข้าใจพอสมควรแล้ว ไม่อยากอธิบายในที่นี้เพราะกลัวจะผิดพลาด เพราะเป็นความเข้าใจในระดับสัญญาเท่านั้น เอาไว้ตอบคำถามเรื่องสภาวะนิพพานให้ตนเองคร่าว ๆ เท่านั้น

อย่าได้ยึดถือ เนื้อความนี้ได้เคยศึกษา และอ่านมาแล้ว แต่วันนี้ได้เปิดดูพระไตรปิฎก เพื่อเป็นการยืนยันว่า ในพระไตรปิฎกมีจริงเท่านั้น เป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปเทศโปรด พวกชนกาลามโคตร คัดมาเพียงบางส่วนเท่านั้น

เกสปุตตสูตร [๕๐๕] ๖๖
พระผู้มีพระภาคต รัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เ มื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

Friday, October 08, 2004

วันที่ 27 อริยะประเพณี

ตื่นตีห้าเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งไว้ แล้วก็ขึ้นไปเดินจงกรม
นั่งฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่น มาหลายรอบเพลงที่ชอบ ลึกซึ้งและซาบซึ้งเข้าไปในใจมากที่สุดคือ เพลงสาวกพระอรหันต์ โดยเฉพาะเนื้อความตอนที่สั่งสอนการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ซึ่งเป็นอริยะประเพณี

ในบางราตรีที่ท่านอยู่ในถ้ำสาริกา มีพระอรหันต์มา มาสั่งสอนธรรมให้
ทางสมาธินิมิตเห็นได้ สอนธรรมสุดจับใจ ให้เห็นประเด็นหนักเบา
ดั่งได้ฟังธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า น้อมนำเอาธรรมมาใคร่ควร
แสนอิ่มเอิบอบอวล ด้วยอรรถธรรมล้วน ๆ เย็นฉ่ำสัมพันธ์
เหมือนโลกและธาตุขันธ์ ไร้คืนไร้วัน กาลเวลามาบีบกายใจ
ข้อความของพระธรรม ที่นำมาแสดง ท่านกล่าวแถลง แสดงชี้แจงจนถึงใจ
ตั้งแต่เดินจงกรม เหมาะสมนั้นทำยังไง การเคลื่อนไหวใด ๆ ต้องมีสติตั้งประคอง
การบิณฑบาตร ขบฉัน และขับถ่าย การพูดจา ปราศัยใส่ใจปอง ควรมองและตรองให้ถ้วนถี่
อันถือเป็น อริยะประเพณี เคลื่อนไหวไปมา ทิศทางใดก็ดี ต้องมีสติตามแทรกแซงทุกแห่งหน
สมณะที่ดีไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ไม่พึงก่อเหตุเพศภัย กิเลสเผาใจในตัวตน
ให้ระบาดสาดกระจาย ลุกลามไปเผาลน คนอื่นทั้งตัวตน เราเองจงเร่งระวัง
คนเลวใจเลวสิ่งที่เลวในโลกหล้า ไม่มีใครปารถนามาเมียงมอง หวังใผ่ปองอยู่ข้าง
ยิ่งสมณะเลวแล้วยิ่งน่าชิงชัง ทิ่มแทงใจไม่สร่างทั่วทั้งแผ่นดินและอินทร์พรหม
อีกอาหารใด ๆ ก่อนฉันให้พิจารณา อย่าติดรสโอชาที่เร้นซ่อนพาชิวหานิยม
เสริมสร้างแต่เพียงร่างกาย ส่วนใจนั้นดังไฟเผารม อาพับทับถม จอดจมดั่งรมด้วยเปลวไฟ
การบำรุงรักษาใด ๆ ในโลกนั่น เยี่ยมยอดอนันต์ คือการรักษาใจตน ให้สูงจนพ้นภัย
รู้ธรรมเห็นธรรม ที่งามเชิดชูคือรู้ใจ มรรคผลนิพพานอำไพ เกิดขึ้นที่ใจจงใผ่ตรอง
สมณะผู้รักในศีล สมาธิ ปัญญา รักสติ รักศรัทธา รักความเพียร ไม่เหือดหาย
จะเป็นสมณะที่เต็มภูมิทำได้ ทั้งปัจจุบันสมัย อนาคตอันใกล้ดังปอง
นี่คือธรรมที่สมควรยกย่อง อันวิไลใสผ่องขององค์พระศาสดา
อันหาใดเทียมค่า มีหรือจะคู่ควร จงคิดใคร่ควร ทบทวนอยู่ทุกเวลา
นี่คือธรรมที่สำคัญล้ำค่า จงพิจารณาธรรมที่ฝากเอาไว้
อีกในไม่ช้า กิเลสที่มาเผาไหม้ บอกให้ท่านมั่นใจ จะหมดสิ้นไปในอีกไม่นาน


หลังจากได้ฟังเพลงนี้แล้ว ประกอบกับได้อ่านแนวการปฏิบัติของท่าน ก. เขาสวนหลวง จากเว็บสันติธรรม (www.santidharma.com) และก็ตรวจสอบดูในพระไตรปิฎก พบดังนี้
ธรรม ๒ อย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉน คือ สติ ๑ สัมปชัญญะ ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้มีอุปการะมาก ฯ
ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ
ธรรม ๒ อย่างที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน คือ นาม ๑ รูป ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ฯ
.......

จะเห็นว่านอกจากการตามรู้ รูป นาม คือ ลมหายใจ กายส่วนอื่น ๆ และจิตที่ทำอยู่แล้ว สิ่งที่ควรเพิ่มเติมเข้ามาอีกอย่างตอนนี้คือ จะต้องมีสติ ตลอดวันตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน จะขยับกายเคลื่อน ไหวใด ๆ เอาสติ ติดตามเข้าไปให้หมด นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เริ่มทำและจะทำต่อไปอย่างเข้มข้น

สอนธรรมะ : บางครั้งสอนธรรมะคนอื่นด้วยกิเลส บางครั้งสอนด้วยความเมตตา แต่ยังแยกไม่ค่อยออกนัก ต้องระวังให้มาก

Thursday, October 07, 2004

วันที่ 26 ตื่นยากตื่นเย็น

รู้สึกตัวตอนตีสี่กว่า ๆ ก็เลยเอาโทรศัพท์มือถือมาถือไว้ว่าจะลุกตอนตีห้าตรงเพราะถ้าลุกเร็วกลัวว่าจะง่วง ปรากฏว่านอนเตลิดมารู้สึกตัวอีกทีตีห้าสี่สิบ แล้วก็นอนต่อไปอีกลุกขึ้นมาอีกทีหกโมงยี่สิบ จะเห็นว่าการตื่นนอนเป็นปัญหาสำหรับเราจริง ๆ ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ให้ทำสองวิธี คือ หนึ่งลุกขึ้นมาเลย มันไม่ง่วงมากเท่าไรหรอก สองไม่ต้องดูนาฬิกาให้นอนต่อไปเลยแล้วถึงเวลาค่อยลุกตามนาฬิกา ให้ทำสองอย่างนี้ ห้ามลุกขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วนอนต่อเด็ดขาด

วันนี้ช่วงเช้าก็เหมือนปกติทุกวัน แต่ช่วงหลังเลิกงานค่อนข้างดี เห็นอิรยาบถค่อนข้างถี่ ตลอดจนเข้านอน

Wednesday, October 06, 2004

วันที่ 25 เดิน

ตื่นตีห้าตรงลุกขึ้นไปเดินจงกรม ตอนตื่นมีความรูสึกเหมือนเมื่อวานคือมีจิตใจที่จะลุก เหมือนกับว่าจิตมันเริ่มเรียนรู้แล้วว่า ถ้าไม่ลุกก็จะเกิดความทุกข์ วิตก กังวล ขึ้นภายหลังด้วยเหตุที่ไม่ลุก แล้วก็ต้องลุก วันนี้เดินจงกรมเน้นที่รู้สึกถึงฝ่าเท้าและช่วงขา ส่วนลมหายใจนั้นไม่ตั้งใจจะเห็นก็แทบไม่เห็นเลย ก็ไปเรื่อย ๆ ลงมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานพบว่าจิตใจค่อนข้างสดใส มีความสุขจากภายในนิด ๆ

ตอนเดินทางกลับบ้านขณะนั่งอยู่บนรถบริษัทเอาสติตามรู้ลมหายใจมาเรื่อย ๆ พอซักระยะหนึ่งก็เลยหลับตาเพื่อดูลมหายใจอย่างเดียว เห็นลมหายใจเพียงสองสามครั้งเท่านั้น แล้วก็ดับหายไปเลยลืมตาอีกทีรถบริษัทวิ่งเลยทางเข้าที่พักมาจนจะสุดท้างแล้ว สรุปแล้วมันหลับแต่มันหลับตอนทำสมาธิก็เลยหลับง่ายหน่อย ก็เลยลงรถที่ปลายทาง พอลงรถไม่มีความคิดที่จะขึ้นรถเมล์กลับมาทางเดิมเลยมีความคิดอยากจะเดินกลับมากกว่าก็เลยเดินกลับระยะทางประมาณเจ็ดถึงแปดกิโลเมตร เดินอยู่ชั่วโมงกับสี่สิบนาที ก็มาถึงห้อง ขณะเดินก็กำหนดสติตามรู้ขา การเดินและลมหายใจมาตลอดทาง เหมือนกับการเดินจงกรม ไม่รู้สึกว่าไกล ไม่ทุกข์ขณะเดิน เดินมาเรื่อย ๆ พยายามรู้สึกตัวมาตลอดทาง แต่เมื่อยขานิดหน่อย ตอนเดินมาไม่ได้ดูนาฬิกาเลยเพราะไม่ได้สนใจว่าจะใช้เวลาเท่าไรสนใจแต่สติเท่านั้น พอเดินมาถึงประตูห้องก็ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วก็เลยตั้งใจประมาณว่าตัวเองเดินมาประมาณชั่วโมงสี่สิบนาที เพราะฉะนั้นถ้าเข้าไปดูนาฬิกาต้องประมาณ ทุ่มห้าสิบห้านาที เพราะออกเดินตอนหกโมงสิบห้านาที พอคิดเสร็จก็เลยเปิดประตูห้องเข้ามา อัศจรรย์เหลือเกินนาฬิกาบอกเวลา ทุ่มห้าสิบห้าพอดีเปะ ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูปรากฏว่าทุ่มห้าสิบสาม ถ้ายึดตามนาฬิการที่ห้องก็พอดีเปะ แต่ถ้ายึดตามโทรศัพท์มือถือ ก็ผิดพลาดเพียงสองนาทีเท่านั้น ฟลุ๊กจริง ๆ


คำสอนของหลวงตามหาบัว
ธรรมชาติของจิต จะไปหยุดนิ่งอยู่นานๆ ไม่ได้เดี๋ยวมันก็คิด ในช่วงนั้นถ้าเกิดความคิดขึ้นมาปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ สิ่งที่มันคิดนั้นจะเป็นอะไรก็ได้เรื่องครอบครัว เรื่องการเรื่องงาน เรื่องผู้เรื่องคน จิปาถะสารพัดที่จะคิดขึ้นมา เมื่อมันคิดขึ้นมาอย่างนั้น ปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ รู้ รู้ เป็นการส่งเสริมให้จิตของเรามีพลังเข้มแข้ง เพราะความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดสติปัญญาจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้จากความคิด เมื่อจิตมีความคิด สติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ความคิดสะเปะสะปะเหลวไหลนั่นแหละจะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ เพราะจิตของเราคิดแล้วจะรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไปๆ เมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้นกลายเป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็สามารถกำหนดหมายรู้ความคิดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็รู้พระไตรลักษณ์ขึ้นมา ก็กลายเป็นปัญญาในขั้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะไปข้องใจสงสัยอยู่ทำไมหนอรีบเร่งบำเพ็ญภาวนาให้มากๆ ให้ได้สมาธิเป็นเบื้องต้น ทีนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจ หรือไม่มีอะไรจะคิดก็ให้กำหนดจิตรู้ที่จิตเฉยๆ ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด ว่างรู้ที่ความว่าง คิดรู้ที่ความคิด ไล่ตามกันไปอย่างนี้ เมื่อเราฝึกหัดจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้อารมณ์จิตหรือความคิด สติก็ทำหน้าที่ตามรู้คอยควบคุม เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง เมื่อพิจารณาไปพอสมควรแล้ว บางครั้งจิตอาจจะสงบลงในท่ามกลางแห่งภาวนา แล้วก็หยุดพิจารณา เมื่อมันหยุดพิจารณา ไปนิ่ง รู้เฉยอยู่ ให้กำหนดตัวผู้รู้ ในขณะกำหนดตัวผู้รู้ จิตจะหยุด นิ่งอยู่ ก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าไปรบกวน น้ำใจกำลังจะนิ่ง ในเมื่อน้ำใจนิ่ง ไม่มีคลื่นไม่มีฟอง ไม่มีอารมณ์มารบกวน เราก็จะสามารถเห็นจิตเห็นใจของเราได้ทะลุปรุโปร่ง เหมือนๆ กับน้ำทะเลที่มันนิ่ง เราสามารถมองเห็น เต่า ปลา กรวด ทราย สาหร่าย อยู่ใต้น้ำได้ถนัด ฉันใด ในเมื่อจิตของเรานิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน เราก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในจิตของเราได้อย่างชัดเจน อะไรผุดขึ้นมา จิตจะกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ

จิตกลับตัว : ถึงเวลาจิตมันจะเป็นมันก็เป็นของมันเอง บางครั้งมันถลำไปในโทษะ ราคะ โมหะ ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น แต่พอมันจะกลับมันทำของมันเอง เราไม่ได้ทำอะไรเลย

Tuesday, October 05, 2004

วันที่ 24 กลัวความเย็น

ตื่นตีห้าตรงลุกขึ้นไปเดินจงกรม วันนี้ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่นสักเท่าไร แต่ก็ไม่เพลีย แต่มีจิตใจที่จะลุก ถ้าได้จิตใจในการลุกแ บบนี้ทุกวันคงดี เสร็จแล้วเดินทางไปทำงานตามรู้ความคิดและลมหายใจ ขณะที่อาบน้ำตอนกำลังจะเอาฝักบัวราดลงที่ตัวมองเห็นความกลัวน้ำเย็นของจิตแว้บขึ้นมาทันที หลังจากแว้บเพียงเสี้ยววินาทีน้ำเย็นก็สัมผัสกับผิวหนังบริเวณต้นคอ อก และหลัง ความกลัวความเย็นของจิตดับลงทันที แล้วมาโผล่ที่ความเย็นของน้ำที่สัมผัสกับผิวหนังแทน แล้วเราก็ตามรู้กายในการอาบน้ำถูสบู่ปกติต่อไป จิตมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ มันรับรู้ได้เพียงหนึ่ง

Monday, October 04, 2004

วันที่ 23 ตื่นแล้วนอนต่ออีกนิด

ตื่นตีห้าตรงแล้วนอนต่อลุกขึ้นมานั่งสมาธิตีห้าสี่สิบ พอนั่งเสร็จหกโมงห้านาที กิเลสขอนอนต่ออีกนิดนึง ตื่นมาอีกที เจ็ดโมง อาบน้ำแต่งตัวไปขึ้นรถบริษัทไม่ทันต้องขึ้นรถประจำทางแทน แต่โชคดียังไปทำงานทัน เท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าปัญหาการตื่นยังแก้ไม่ได้ คือบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการอดอาหารเย็นไม่ได้ แต่เราไม่เป็น เรามีปัญหาเรื่องการตื่นนอนเป็นอย่างมาก ตื่นมาแล้วงัวเงียไม่สดชื่น ต้องขอนอนต่อแล้วก็เตลิด เสียการเสียงานมาแล้วนักต่อนัก ต้องแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบแบบแผนลองดูว่าจะได้ผลหรือเปล่า ตามวิธีการของครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าให้ลองลดอาหารดู เดี๋ยวจะลองลดอาหารในแต่ละวันแล้วก็แต่ละคาบดูว่าจะได้ผลหรือไม่

Sunday, October 03, 2004

วันที่ 22 กลับบ้าน

ตื่นตีห้าครึ่ง นั่งสมาธิถึงหกโมง แล้วนอนต่อลุกอีกทีแปดโมง อาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวออกเดินทางไปแวะบ้านที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแฟนประมาณ ร้อยกว่ากิโลเมตร

ก่อนกลับแฟนถามว่าได้ให้หนังสือแม่หรือยัง ก็เลยตอบว่าก่อนให้อยากอธิบายพื้นฐานให้ฟังก่อน โดยส่วนตัวแล้วก็อยากจะทำอย่างนั้นแต่ว่า ตอนนั้นมีความรู้สึกหวงหนังสือไม่อยากให้ขึ้นมาในใจ กิเลสโผล่ขึ้นมา สติก็เห็นทันที แต่ห้ามมันไม่ได้มันหวงก็ปล่อยให้มันหวงไป ขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถออกมา ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมาหยิบหนังสือสองเล่ม เอาไปให้ป้ากับแม่ของแฟนซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน แล้วก็พูดนิดหน่อย ขณะที่ให้นั้นมีโทษะเจือนิดหน่อยที่ไปขัดใจกิเลสมัน คือมันไม่อยากให้ แต่แฟนเขาอยากเอาให้ จิตก็เลยเหมือนทำประชด คิดว่า ณ ตอนนั้นบุญคงไม่เกิด คงเป็นศูนย์แน่นอน ไม่เป็นไรจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง อย่างน้อยกิเลสตัวหวงมันแพ้เรา แค่นี้ก็ดีใจแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกดีก็คือถึงแม้ว่าจะเกิดอาการความรู้สึกหวง โกรธ ขึ้นมามีตัวรู้มองดูอยู่เห็นอิริยาบถความเป็นไปของจิตอย่างแจ่มแจ้ง

ขณะขับรถกลับบ้านก็ตามรู้กายไปเป็นระยะ คือส่วนใหญ่มันจะรู้เอง จู่ ๆ มันก็รู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวก็จะเห็นลมหายใจบ้าง เห็นความคิดบ้าง หรือบางทีก็เห็นความรู้สึกสัมผัสระหว่างมือกับพวงมาลัยบ้าง มือกับเกียร์บ้าง เท้ากับคันเร่งบ้าง สลับกันไปมาอย่างนี้เรื่อย ๆ สลับกับความคิด

พอเดินทางไปถึงบ้านก็สวัสดีน้าสาวทั้งหลาย ทราบว่าท่านรออยู่ คือท่านกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพ แต่พอทราบว่าเราจะมาก็เลยรอพบเราก่อน พอไหว้น้าเสร็จก็เลยเข้าไปสวัสดียายแล้วก็เล่ารายละเอียดที่จะบวชให้ฟัง เราจะไม่เอาพีธีการ หรืองานอะไรทั้งสิ้น เตรียมตัวให้พร้อม แล้วพอถึงวันก็กราบลาพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วก็เข้าวัด บวชเลย ยายก็รู้สึกดีใจตามประสาคนแก่ ที่มีหลานชายแค่สองคนคือผมกับน้องชาย แต่ยังไม่มีใครบวชให้เลย แล้วลูกทั้งหมดก็เป็นลูกสาวทั้งเจ็ดคน ยายเป็นคนชอบทำบุญอยู่แล้วแต่ท่านจะทำบุญเพื่อไปสวรรค์ แล้วก็ทำทานเพื่อเอาไว้กินไว้ใช้ชาติหน้าอย่างเดียว ถึงแม้จะไม่ใช่แก่นของพระพุทธศานา แต่ก็เป็นทางบวก เราก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าดีแล้ว

หลังจากยายออกเดินทางไปกรุงเทพ ฯ ก็เลยเข้าไปกราบสวัสดีแม่ ได้คุยกันพอสมควร เราได้ให้หนังสือ ประทีปส่องธรรม กับ วิถีแห่งความรู้แจ้งแก่แม่เข้าใจว่าคงจะเป็นประโยชน์อยู่ตามสมควรเพราะแม่เป็นคนที่ศึกษาธรรมะมาเยอะเหมือนกัน แต่ คนละประเภทกับยาย คือแม่จะเข้าใจตามเหตุตามผล เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา แต่ว่าอยู่ในระดับสัญญาเท่านั้น แต่แค่นี้ก็ดีมากแล้ว พอคุยเรื่องบวชกับแม่ แม่ถามว่า บวชแล้วจะไม่ไปเลยรึ เพราะใจมันมาทางนี้เยอะแล้ว นี่แสดงว่าแม่รู้ใจเราทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยเล่าเรื่องการปฏิบัติอะไรต่าง ๆ ให้แม่ฟังเลยแม้แต่น้อย เราก็ตอบว่าจริง ๆ ก็อยากจะลองอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันติดปัญหาเรื่องเป็นหนี้ รัฐบาล ตอนกู้มาเรียนต่อปริญญาตรี ต้องออกมาใช้หนี้ก่อน ถ้าใช้หนี้หมดแล้วก็ว่ากันอีกที คุยกับแม่เรื่องชีวิตของมนุษย์ แม่ก็มีความคิดเห็นเดียวกับเราคือ ชีวิตมนุษย์เกิดมาดิ้นรนแทบตาย แล้วก็แก่ เสร็จแล้วก็จะตายทิ้งกันไปเฉย ๆ ยิ่งมองเห็น ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วยิ่งเห็นชัดเจน ส่วนแม่นั้นก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะอายุก็เยอะแล้ว ความลำบากในชีวิตที่ผ่านมามันไม่มีอะไรเลย แล้วซักพักเดี๋ยวก็จะตาย ไม่มีอะไรเหลือ เราก็เลยแนะนำให้แม่อ่านหนังสือแล้วก็ปฏิบัติ บอกแม่ว่าอายุแม่ก็เยอะแล้ว ไม่ต้องรออะไรแล้ว แม่ก็รู้สึกจะเห็นด้วย

ย้ำคิด : จิตใจดวงนี้ทำร้ายตัวเองด้วยการย้ำคิดในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์บ่อย ๆ

Saturday, October 02, 2004

วันที่ 21 ซื้อบาตรให้พ่อ

ตื่นตีห้าลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แล้วก็เดินออกไปเล่นข้างนอก บรรยากาศบ้านนอกนี่มันสดชื่นดีจริง ๆ เดินไปจนสุดถนนในหมู่บ้านแล้วก็เดินกลับพร้อมทั้งระลึกลมหายใจไปด้วย รู้สึกดีกว่าเดินวนไปวนมาในห้องมืด ๆ เยอะ พอสายหน่อยก็เลยออกเดินทางเข้าไปจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร เอาเงินที่พ่อให้มาตอนไปสมุยไปซื้อบาตรได้บาตรขนาดแปดนิ้วหนึ่งลูกเพราะอยากให้พ่อได้กุศลในการบวชด้วย แล้วก็ไปซื้อของเพื่อไปถวายสังฆทาน

ขับรถไปถึงวัดประมาณเที่ยง รู้ลมหายใจและความคิดไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง พอไปถึงก็กราบหลวงตาแล้วถวายสังฆทาน พร้อมทั้งถวายหนังสือประทีปส่องธรรม แล้วก็ฝากบาตรไว้กับหลวงตา หลังจากนั้นก็คุยกันนานประมาณสามชั่วโมง หลายเรื่องมาก ประเด็นหลัก ๆ ก็จะเป็นประวัติการปฏิบัติของท่าน และของครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เจอ เช่น ผี เทวดา การมาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นป่าช้า ท่านมารื้อป่าช้าอยู่ เจอเรื่องราวพอสมควร ก็เลยถามท่านเรื่องอสุภกรรมฐาน ได้วิธีการปฏิบัติมาพอสมควร แต่ท่านแนะนำให้ลองทำไปทีละอย่างอย่าง อย่าทำสเปะสะปะ ท่านแนะนำว่าถ้าหากนั่งสมาธิแล้วได้กลิ่นหอม เหมือนดอกมะลิแล้วมีเสียงคุยกันหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ เบา ๆ แสดงว่าเป็นเทวดาหรือนางฟ้าท่านอยู่แถวนั้น แต่ถ้าเป็นกลิ่นสาปเหม็นเน่าแสดงว่ามีการตายหรือฆ่ากันตาย หรืออะไรซักอย่างอยู่แถวนั้น ท่านบอกว่าให้จุดธูปบอก ก็เลยถามท่านว่าไม่ให้หนีหรอกหรือ ท่านบอกว่าไม่ให้หนีให้จุดธูปแล้วแผ่เมตตา แล้วท่านก็กำหนดวันบวชให้ คือให้บวชวันที่ 5 ธันวาคม 2547 ซึ่งตรงกับวันพ่อพอดี แล้วก็คุยเรื่องจริต หลวงตาท่านบอกว่าเท่าที่ฟังมาเราน่าจะเป็นประเภทศรัทธาจริต ก็น่าจะตรงอยู่มากที่เดียว

Friday, October 01, 2004

วันที่ 20 กิเลสยังหนาอยู่มาก

ตื่นเกือบทั้งคืน เพราะดันนอนเร็วไปหน่อย จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจนอนหรอก อ่านหนังสือธรรมะเสร็จ ว่าจะทำสมาธิ แล้วก็หลับไปเลย ตื่นมาก็ต้องนอนต่อเพราะมันดึกอยู่มาก จนกระทั่งตีห้าครึ่งก็เลยลุกขึ้นมา นั่งสมาธิ วันนี้ตามรู้ลมหายใจได้ค่อนข้างดีตั่งแต่ตื่น จนกระทั่งเดินทางมาถึงโต๊ะทำงาน อาจจะมีสลับกับการรู้กายส่วนอื่นบ้างเล็กน้อย แต่ก็จะกลับมารู้ลมหายใจเหมือนเดิม

ตั้งใจอยากจะให้พี่คนนึงที่อยู่แผนกเดียวกันฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ก็เลยเดินไปถามว่าเขาเคยอ่าน ประวัติหลวงปู่มั่นหรือเปล่า เขาตอบว่าอ่านจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่รู้ว่าเขาตอบด้วยความมานะหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่าตัวเองรู้สึกเป็นลบขึ้นมา ก็เลยถามต่อว่าเคยฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่นที่เพลินพรมแดนร้องหรือเปล่า เขาตอบว่าไม่เคยฟังแล้วก็ไม่คิดจะฟังด้วย ความรู้สึกของเราเกิดเป็นลบกว่าเดิมอีก เอหรือว่าเราเจ้ากี้เจ้าการยัดเยียดบางอย่างให้เขามากเกินไป ก็เลยบอกเขาไปว่าไม่ได้เอาให้พี่เขาฟัง ให้เอาไปให้คนแก่ เด็ก หรือคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือฟัง จะเป็นการดี เขาก็เลยสนใจก็คิดว่าเขาคงจะเอาไปให้แม่หรือลูกฟัง แต่ความรู้สึกที่เป็นลบนิด ๆ ที่ติดอยู่ในใจมันเกิดขึ้น แล้ว ตอนที่มันเกิดขึ้นเราเห็นทันที จริง ๆ ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องรู้สึกลบ เพราะเราให้สิ่งที่ดี ถ้าเขาไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นเพราะจิตตัวนี้มันโง่นั่นเองไม่มีอะไรมาก เป็นเครื่องมือวัดอย่างหนึ่งว่ากิเลสเรายังมีอีกเยอะ

ออกเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ด ไปพักที่บ้านแฟน ระหว่างที่เดินทางมีสติรู้ลมหายใจ กับตามรู้ความคิด กับตามรู้กายในการขับรถอยู่เป็นระยะ ตลอดทาง ไปถึงร้อยเอ็ดเข้านอน