Thursday, May 22, 2008

นับถอยหลัง

วันนี้เดินทางไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช กับน้องๆ อีกสามคน (โซดา มล ชาติ) เพราะว่าไม่ได้ไปกราบท่านมานาน รู้สึกคิดถึงครูบาอาจารย์ การภาวนาก็เหมือนคงที่ไม่ไปไหนมาไหนซักที ชาวบ้านที่เขามาทีหลังเขาจะแซงกันไปหมดแล้ว

วันนี้พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส แวะมาเยี่ยมพระอาจารย์ปราโมย์ พอดี ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าน

พออาจารย์เริ่มสอนตอนเช้า ท่านหันมาเห็นหน้าผมท่านก็ยิ้มให้ พอช่วงส่งการบ้านท่านถามว่า โอมเป็นไงบ้าง นึกว่าบวชไปแล้ว ท่านอยากให้บวชอยู่วัดที่เงียบๆ กลัวว่าถ้าบวชที่วัดที่มีการงานทางโลกเยอะจะภาวนาไม่ถึงไหน แล้วท่านก็บอกว่าจิตมันทื่อๆ ไปนะ ให้ใช้จิตมนุษย์ธรรมดาในการเจริญวิปัสสนา เพราะมันดีที่สุดแล้ว

หลังจากจบเทศนาท่านก็ให้ญาติโยมกลับบ้าน แล้วท่านก็ไปคุยกับพระตามปกติ ซึ่งวันนี้มีพระไปปรึกษาธรรมะท่านเยอะพอสมควร (รวมทั้งพระอาจารย์อำนาจซึ่งนัดติดกับท่านด้วย) ตอนก่อนกลับผมก็กราบพระพุทธรูป แล้วก็หันไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์อยู่ด้านท้ายศาลา พอกราบเสร็จเงยหน้าขึ้นมา เห็นท่านกวักมือเรียกก็เลยเดินเข้าไปหาท่าน

ท่านก็เลยถามว่าโอมจะบวชตอนไหน ก็เลยตอบท่านไปตามแผนที่วางไว้คร่าวๆ ว่า ตั้งใจว่าอีกซักปีหนึ่งจะบวช ช่วงนี้ก็ค่อยๆ เตรียมตัวไปและอยู่ดูแลแม่ในช่วงเวลาที่เหลือ ท่านก็เลยบอกว่าดีแล้ว ถ้าจะบวชให้ขึ้นไปอยู่กับอาจารย์อำนาจ นะ ก็เลยตอบท่านไปว่า ก็แล้วแต่พระอาจารย์ครับ เพราะตอนบวชยังไงก็จะมาขอคำแนะนำจากพระอาจารย์อยู่แล้ว ก็แล้วแต่ท่านว่าจะให้ทำยังไง ท่านก็บอกว่า ดีแล้วๆ

ตอนเดินกลับออกมาค่อนข้างรู้สึกดีใจที่ท่านค่อนข้างเอ็นดูเรา และอีกใจหนึ่งก็รู้สึกเหมือนสัญญากับท่านไปแล้ว ก็เลยได้เวลาที่ค่อนข้างแน่นอนเข้ามาอีก คิดว่าชีวิตนี้คงได้บวชในปี ๒๕๕๒ ค่อนข้างแน่นอน อย่างช้าที่สุดก็คงเลยไปไม่ถึงปี ๒๕๕๓

จริงๆ แล้วในความรู้สึกหนึ่งเหมือนกับว่าท่านอาจารย์คงรู้่ว่าถ้าปล่อยให้เราอยู่แบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมามาก มีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ มิหนำซ้ำอายุก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นอุปสรรคในการภาวนาด้วยซ้ำ รีบๆ ไป ภาวนาให้ก้าวหน้ายังจะสร้างประโยชน์ในพระพุทธศาสนา สร้างประโยชน์ให้ชาวบ้านเขาได้มากกว่านี้ กุลบุตรผู้มาทีหลังที่ยังไม่รู้ทางยังมีอยู่ เผื่อว่าอนาคตเราจะพอช่วยเขาได้บ้าง

เวลาในชีวิตที่เหลือจะอยู่กับชาวบ้านนับจากวันนี้ไปก็แค่ปีเดียว เริ่มนับถอยหลังจากบัดนี้เป็นต้นไป คงตั้งใจทำอะไรให้ดีที่สุด (หนักที่สุด) เท่าที่พอจะทำได้ เพราะคิดว่าจะไม่มีเวลากลับมาทำเรื่องพวกนี้อีกแล้วตลอดกาล

Tuesday, January 15, 2008

คนกลัวทุกข์

ขออภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู
ขอนอบน้อมแด่พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ผู้เป็นประทีปส่องธรรม
.....
ผมเป็นคน รักตัว คิดกลัวทุกข์
อยากได้สุข พ้นภัย เที่ยวใฝ่ฝัน
ชาวบ้านว่า สุขมีที่ไหน ก็ไปกัน
ดิ้นทั้งวัน ไม่เห็นใคร ได้สุขจริง

คนหนึ่งบอก ต้องเรียนจบ ให้ครบก่อน
อีกคนสอน ได้งานดี ตามที่ฝัน
แล้วซื้อรถ ผ่อนบ้าน ทำตามกัน
เสร็จแล้วหัน มาก่อร่าง สร้างครอบครัว

แต่ละคน เที่ยวค้นหา ทางของตน
ต่างดิ้นรน เฝ้าค้นหา ความสุขสรรค์
แต่หนึ่งสิ่ง ที่ผู้คน เห็นตรงกัน
มีเงินนั้น ยอดความสุข ทุกรูปนาม

ผมทำตาม เดินตาม สามสิบปี
สุขก็มี ทุกข์ก็มี ตามวิสัย
แต่รู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจ
นี่ไม่ใช่ ทางที่ถูก สุขแท้จริง

วันหนึ่งพบ ยอดครู ผู้เปรื่องปราชญ์
ท่านสามารถ ชี้แนวทาง อย่างอาจหาญ
ไปทางนี้ เลี้ยวตรงนั้น อีกไม่นาน
จะพบพาน ความสุข ไร้ทุกข์จริง

เคล็ดวิชา ที่ท่านสอน คือดูจิต
ไม่ต้องคิด แค่ให้ดู อยู่เฉย ๆ
มันจะเป็น ยังไง ปล่อยมันเลย
ดูเฉย ๆ เพื่อให้รู้ อยู่กับมัน

ไม่น่าเชื่อ แค่ทำตาม ไม่กี่วัน
เฮ้ย..นี่มัน สุดยอดเคล็ดวิชา ที่ใฝ่หา
จึงตั้งใจ ตั้งหน้า และตั้งตา
ความก้าวหน้า ก็เป็นมา ตามกำลัง

ยิ่งทำไป ทุกข์ยิ่งหาย ไปจากจิต
ไม่มีคิด อีกแล้ว เรื่องสงสัย
ยิ่งทำ ยิ่งแน่วแน่ ยิ่งมั่นใจ
จะเอาให้ ทุกข์หายไป ตลอดกาล

เพียงแค่รู้ แค่ดู อยู่ที่จิต
เป็นเพียงนิด หนึ่งใน ยอดมหา
สติปัฏฐานสูตร คำสอน องค์สัมมา
สัมพุทธะ เจ้านั้น ควรหมั่นทำ

มนุษย์โลก เกิดมา ตาดำ ๆ
ทุกข์ครอบงำ ใจจิต มิดหนักหนา
แต่ไฉน ไม่มีใคร สนใจยา
ที่พุทธา ประธานไว้ ให้ปวงชน

เปรียบเหมือนคน เป็นโรค ไม่กินยา
ไม่ยอมมา รักษา อย่าหวังหาย
คงมีทุกข์ ติดตัว ไปจนตาย
ไร้ทางคลาย ทุกข์สาหัส กัดกินใจ

เพียงแค่รู้ แค่ดู อยู่ที่จิต
จะพิชิต ทุกข์ได้ อย่าสงสัย
หากจะพูด ภาษา บาลีไป
แบบนี้ไซร้ เรียกว่า สัมมาสติเอย

นี้เขาเรียก เดินตามรอย แห่งพุทธะ
ดีมากกว่า ไปอินเดีย เสียไหน ๆ
แบบนั้นเรียก ไปแต่ตัว ใช่หัวใจ
ตามยังไง ก็ไม่พบ บรรจบกัน

ใครจะเดิน ไปทางไหน ผมไม่ว่า
แต่อยากท้า ให้มามอง ลองศึกษา
ธรรมะของ องค์สมเด็จ พระสัมมา
ไม่ดีดังว่า ก็เลิกได้ ไม่ว่ากัน

ที่แน่ ๆ ผมจะไป ในทางนี้
ใครว่าดี ว่าชั่ว มั่วไม่สน
ทางของใคร ของมัน นั้นของตน
ผมดิ้นรน ไปก่อนละ ลาก่อนเอย
.....
วันนี้ทำงานวันสุดท้าย ก็เลยเขียนจดหมายลาฉบับคนกลัวทุกข์ วางแผนไว้ว่าจะเตรียมตัวให้พร้อม จะเอาจริงแล้วนะคราวนี้ เดี๋ยวรอดูกัน