Saturday, March 05, 2005

วันที่ ๑๗๕ กราบอาจารย์ปราโมทย์ครั้งที่ ๒

ออกเดินทางจากโคราชไปพักกับน้องสาวที่กรุงเทพฯ หนึ่งคืน ก่อนออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ไปกาญจณบุรี ขณะเดินทางมีความร้อนรนใจพอสมควร เพราะเกรงว่าจะไปไม่ทัน ถึงแม้จะมีสติอยู่ตลอดทางแต่ ความกังวลมันก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ คิดดูขนาดจะเดินทางไปวัดเพื่อไปหาบุญหากุศล จิตมันยังเป็นอกุศลได้ ความกังวลผุดมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งถือเป็นโทสะประเภทหนึ่ง คือเป็นความกลัว กลัวว่าจะไปไม่ทันนั่นเอง แล้วก็ลงท้ายด้วยความทุกข์ กังวลหนึ่งครั้ง ปรุงหนึ่งครั้ง ก็ทุกข์ไปหนึ่งครั้ง แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ แต่ขึ้นชื่อว่าทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์เล็กทุกข์น้อยไม่มีอะไรดี

เดินทางไปถึงวัดพบว่าญาติโยมเต็มศาลากำลังถวายอาหาร แต่เราไม่ได้เอาอาหารไปเพราะแค่จะมาให้ทันก็จะแย่แล้ว ในความรู้สึกส่วนตัวจะอยากถวายอาหารท่านมากเพราะไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไรจึงจะสมควรแก่สิ่งที่เราได้รับจากท่าน การถวายอาหารคงเป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะทำได้เอาไว้วันหลังจะพยายามมาให้ทันถวายอาหารท่านให้ได้ พอเข้าไปถึงก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็มองมาทางเรานิดหน่อยแล้วก็ยิ้ม แล้วท่านก็ให้พรสำหรับคนที่ถวายอาหาร เราก็เลยได้รับพรไปด้วย พอรรับพรเสร็จก็ลงไปรับประทานอาหารกับญาติโยมคนอื่น ๆ

พอทานอาหารเสร็จก็พากันขึ้นมานั่งรอท่านบนศาลา ท่านเดินผ่านเราก็ทักว่าเป็นไงบ้าง เรานี่ดีใจแทบตาย แค่ท่านทักก็มีความสุขแล้ว แล้วท่านก็เดินไปนั่ง พอกราบพระเสร็จ ท่านก็เริ่มหันมาคุยกับญาติโยม ท่านก็หันมาถามเราก่อน ว่า "เป็นไงเราสึกแล้วเหรอ สึกตั้งแต่เมื่อไร" เราก็ตอบท่านวา ศึกตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม แล้วท่านก็เริ่มสอนญาติโยมตามวิธีของท่าน วันนั้นเรานั่งด้วยจิตที่มีความสุขชอบกล แล้วท่านก็หันมาถามว่า "เป็นไงบ้างภาวนา" เราก็ตอบว่า เรื่อย ๆ ครับ แล้วท่านก็ถามต่อว่า เรื่อย ๆ นี่ "กุศลหรือ อกุศล" เราก็ตอบว่า อกุศลครับ ท่านก็บอกว่า "ก็ดีแล้วนะจิตเป็นอกุศลก็รู้ว่าอกุศลนี่ดีแล้ว" แล้วท่านก็สอนคนอื่นต่อ คำว่ากุศลและอกุศลในที่นี้ หมายความว่า มีสติ หรือไม่มี จิตที่มีสัมมาสติขณะใด ถือว่าจิตเป็นกุศลขณะนั้น แต่ถ้าขาดสติเมื่อใดเป็นอกุศลเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าอกุศลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการที่มีความคิดหยาบช้า เลวทราม ลามก เหมือนความหมายที่คนทั่ว ๆ ไปเข้าใจกัน เพราะฉะนั้นวันทั้งวันเราก็จะมีแต่จิตที่เป็นอกุศลอยู่ทั้งวัน ถึงแม้ว่าขณะนั้นกำลังคิดถึงเรื่องดี ๆ อยู่ ก็เป็นการหลงไปในโลกของความคิด ซึ่งการหลงทุก ๆ อย่างถือเป็น อกุศลธรรม ทั้งหมด เพราะฉะนั้นวันทั้งวันเราจึงมีแต่อกุศล แต่ถ้าเรารู้สึกตัว มีสติขึ้นมาทีหนึ่ง ตัวอกุศลก็ขาดลงทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ที่ท่านบอกว่า "ก็ดีแล้วนะจิตเป็นอกุศลก็รู้ว่าอกุศลนี่ดีแล้ว" ตรงที่ดีคือตรงที่รู้ ไม่ใช่จิตเป็นอกุศลมันดีหรอกนะ

ขณะนั่งฟังเทศน์พยายามมีสมาธิไม่ให้จิตเผลอไปคิดเรื่องอื่น ๆ ถ้าเผลอก็ไปไม่นาน ไม่เกิน ๑ หรือ ๒ วินาทีก็จะกลับมาฟังท่านต่อแล้วก็มีสติเป็นระยะ ก็ถือว่าดีเพราะถ้าเราเผลอนานหน่อยท่านจะทักว่าเผลอไปแล้วนะ เหมือนครั้งแรกที่มา แต่วันนี้ไม่โดนทักเลยก็ถือว่าดี แต่คนอื่นก็โดนกันตามธรรมเนียม ใครเผลอบ่อยท่านก็ทักบ่อย แต่บางคนยังปฏิบัติไม่เป็นเท่าไร ท่านก็จะไม่ทักเพราะเดี๋ยวตกใจ เกร็ง แล้วอึดอัด