Tuesday, June 28, 2005

พุทโธ บริกรรม

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า

ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้เจริญเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสนา ๑ ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ควรให้เจริญ ฯ

ช่วงนี้เริ่มกลับมานั่งสมาธิหรือที่เรียกว่าการพยายามทำสมถะนั่นเอง ไม่อยากเรียกว่าตัวเองทำสมถะ เพราะหลวงพ่อพุธท่านเคยกล่าวไว้ว่า สมถะเริ่มต้นเมื่อหมดความคิด วิปัสนาเริ่มต้นเมื่อหมดความตั้งใจ

หลังจากลาสิกขามาก็ไม่ได้นั่งสมาธิมาหลายเดือน มีแต่ตามดูจิตอย่างเดียว มีความรู้สึกว่ามันขาด ๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็เลยกลับมานั่งสมาธิเหมือนเดิม ก่อนเข้านอนจะไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็จะนั่งสมาธิ แต่ไม่กำหนดเวลาว่าจะนั่งนานเท่าไหร่แล้วแต่สภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจของวันนั้น ๆ บางวันเพลียมาก นั่งได้ไม่กี่นาทีก็ง่วงแล้ว แต่ถ้าวันไหนร่างกายพร้อม จิตใจพร้อมก็จะนั่งได้นานหน่อย แต่ยังไม่ได้ขนาด ๑ - ๒ ชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน

เริ่มต้นนั่งด้วยการนั่งขัดสมาธิแล้วใช้ความรู้สึกสัมผัสลงไปที่ร่างกายทุก ๆ ส่วนว่ามันมีตรงไหนเกร็งอยู่หรือเปล่า ถ้ามีตรงไหนเกร็งอยู่ก็จะปรับหรือขยับให้สบายเสียก่อน พอสำรวจจนทั่วร่างกายแล้วไม่มีตรงไหนเกร็ง เห็นแต่ความสบายทั่วทั้งร่างกายแล้วก็จะเริ่มการบริกรรม

หายใจเข้า มีสติ บริกรรมคำว่าพุท
หายใจออก มีสติ บริกรรมคำว่าโธ

ไม่เอาอะไรมากเอาแค่นี้ นั่งไปแป็บนึงจิตมันวิ่งออกไปข้างนอกพอรู้สึกตัวก็กลับมาบริกรรมต่อ ไม่ใคร่ครวญกับอดีตเสียใจที่มันหนีไป แล้วก็ไม่สนใจอนาคตว่ามันจะวิ่งหนีไปอีกหรือเปล่า เอาแค่ปัจจุบันตรงหน้า จิตมันก็จะวิ่งสลับไปสลับมา พอนั่งไปได้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาที ร่างกายเริ่มสงบเพราะไม่ได้ใช้พลังงาน ลมหายใจจะเริ่มแผ่วเบาลงเองอัตโนมัติเพราะร่างกายต้องการอ็อกซิเจนน้อยลง พอจิตใจเริ่มอยู่กับคำบริกรรมมากขึ้น คิดฟุ้งซ่านน้อยลง สมองก็จะใช้พลังงานน้อยลง ก็จะยิ่งทำให้ลมหายในแผ่วเบาลงไปอีกมาก จนบางครั้งแทบไม่เห็นลมหายใจ จะเกิดความสงสัยขึ้นมาว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า จิตก็จะเริ่มฟุ้งอีกรอบ ไม่นาน ลมหายใจก็จะเริ่มกลับมาเห็นชัดเจนอีกรอบ ลมหายใจจะมาให้เห็นช่วงหนึ่งแล้วก็หายช่วงหนึ่งเป็นรอบ ๆ พอนั่งไปนาน ๆ บางวันก็จะมีอาการปวดขา แต่บางวันก็ไม่ปวด บางวันก็อึดอัด บางวันก็นั่งเพลิน ๆ ไม่มีอะไรแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องมีสติ หรือการรู้สึกตัวอยู่เสมอนั่นเอง ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก ตอนที่หัดนั่งสมาธิใหม่ ๆ ไม่รู้จักคำว่ารู้สึกตัว นั่งสมาธิก็จะเผลอถลำไปในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาขณะนั่งสมาธิ เช่นเสียใจที่จิตมันวิ่งไปข้างนอก หรือพยายามบังคับให้มันอยู่แค่ตรงหน้า แต่ตอนนี้จะมีความรู้สึกตัวแทรกอยู่เสมอ รู้สึกเหมือนการนั่งดูคลื่นอารมณ์ คลื่นความคิด คลื่นความสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เห็นมันวิ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นั่งแบบนี้จะนั่งได้นาน ดีกว่าแต่ก่อนสมัยเมื่อตอนที่หัดใหม่ ๆ เยอะ

คำว่าพุทโธเป็นคำบริกรรมที่ดีมาก เป็นคำที่ทำให้เราระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ถึงแม้บริกรรมแล้วจิตไม่สงบ ก็ได้บุญไปในตัวอยู่แล้ว และยิ่งเวลาอยู่ในวัดป่าที่มีสภาพแวดล้อมน่ากลัว หรืออยู่ในป่าช้าคนเดียว ตอนกลางคืน ดึก ๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่า พุทโธ นั้นเป็นคำบริกรรมที่ทำให้เราอุ่นใจมาก เมื่อเทียบกับคำบริกรรมอื่น ๆ เช่น ยุบหนอ พองหนอ ธัมโม สังโฆ หรือแม้กระทั่งการทำอานาปานสติ หรือ กายคตาสติ ถ้าใครได้เจอกับตัวเองจะเข้าใจสภาพได้ดี ยิ่งวันไหนที่ชาวบ้านเขาเอาศพมาเผา ซึ่งปกติแถวบ้านนอกเขาจะเผากองฟอน แล้วถ้าเรานั่งภาวนา หรือ เดินจงกรมอยู่แถวนั้นก็จะเห็นกองไฟลุกไหม้อยู่ค่อนคืน ในสภาวะนั้นสำหรับนักภาวนาใหม่ ๆ หรือคนที่กลัวผีแล้ว มีคำบริกรรมเดียวเท่านั้นที่เอาอยู่ ก็คือ พุทโธ นั่นเอง

สำหรับผมถือว่า พุทโธ เป็นสุดยอดของคำบริกรรมเลยทีเดียว

Tuesday, June 14, 2005

ตามรอยพระพุทธเจ้า

พี่บุญเลิศแนะนำให้ดูรายการ ตามรอยพระพุทธเจ้า ช่อง ๙ พี่เขาบอกว่าดี ผมก็เคยได้ยินแว่ว ๆ ในโฆษณามาแล้วแต่จำวันเวลาไม่ได้ก็เลยไม่ได้ดูตอนแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พี่บุญเลิศบอกว่าดีมาก

วันนี้ก็เลยตั้งใจเต็มที่ว่าจะดูให้ได้พอถึงเวลาก็เปิดดู แต่เผอิญว่ารายการนี้เล่นเวลาเดียวกันกับ ละครช่อง ๗ พอดี ตัวผมเองไม่ดูอยู่แล้วแต่ปัญหาก็คือ แฟนผมเขาจะดูกำลังติดละครเรื่องหนึ่งอยู่ โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าละครแบบนี้เป็นละครน้ำเน่าไร้สาระ แต่ก็งงว่าทำไมคนมันติดกันทั้งประเทศ เรดติ้งเป็นอันดับหนึ่ง รายการประเภทสารคดี ดี ๆ มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งธรรมะ โดนรายการพวกนี้เบียดเวลาตกขอบไปหมด เอ..... หรือว่าเราคิดผิด คนอื่นเขาคิดถูกกันหมด.....

แต่นั่งคิดไปคิดมาละครน้ำเน่าพวกนี้มันเหมือนกับชีวิตของคนเรานี่เอง ชีวิตของเราส่วนใหญ่มันก็น้ำเน่าแบบนี้แหละ จิตใจของเรามันก็น้ำเน่าอย่างนี้แหละ จิตใจของเรามันก็โง่ ๆ เหมือนพระเอก นางเอกนั่นแหละ แต่มันแตกต่างตรงที่ในหนังเขาจบตอนมีความสุข แต่จิตใจของเรามันจบไม่เป็น พอมันสุข มันก็ดิ้นหาทุกข์ต่อไป วนไปเวียนมาเหมือนนางเอกช่อง ๗ ยอดฮิตที่มีอยู่ ๒-๓ คน เล่นจบเรื่องนี้ตอนจบมีความสุข พอไปเล่นเรื่องใหม่ก็มีความทุกข์ใหม่พอจะมีความสุขหน่อยก็จบอีกละ สังเกตดูดี ๆ ละครส่วนใหญ่จะเดินสายทุกขาปฏิปทากัน คือมีความทุกข์ตลอดเรื่อง ไม่พระเอกก็นางเองต้องโง่ หรือไม่ก็โง่ทั้งสอง โง่ยังไม่พอแถมยังไม่ยอมพูดความจริง กลัวเขารู้ ปิดบังเก็บกดอยู่นั่นแหละ พูดไม่ได้เพราะถ้าพูดความจริงหนังมันจะจบ เวลาไปเห็นอีกฝ่ายอยู่กับตัวอิจฉาก็จะไปเห็นตอนที่บังเอิญใกล้ชิดกันทำให้เข้าใจผิด แล้วก็ไม่ยอมเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่อง (ถ้าเดินไปถามหนังมันจะจบ) เสร็จแล้วก็เก็บเอาความทุกข์มาสุมหัวตัวเองอยู่คนเดียว อ้าว......เขียนไปเขียนมาชักลามปาม ดันไปวิพากวิจารณ์ละครเสียแล้ว ถ้าทีมงานที่สร้างละครกำลังอ่านอยู่ให้อภัยผมด้วยนะครับ ด้วยกิเลสของผมยังหนาสาหัส ก็เลยยังมีความเห็นที่บอกว่าชอบหรือไม่ชอบอยู่ในหัว ก็รายงานตามจริงให้รับทราบเท่านั้น

พอตอนดูก็สลับไปมา แต่รายการตามรอยพระพุทธเจ้ากับละครก็เล่นพร้อมกัน โฆษณาก็โฆษณาพร้อมกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เลยจะดูไม่รู้เรื่องทั้งสองอย่างผมก็เลยให้แฟนเขาดูละครไปเลย ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า โดยปกติแล้วถ้าเป็นแต่ก่อน รายการไหนที่อยากดูแล้วไม่ได้ดูนะ จิตใจจะกระวนกระวายมาก ยิ่งเป็นรายการที่ดี ๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่เขาใช้เวลาถ่ายทำถึงสองปี ลงทุนถึงสิบล้านบาท แสดงแผนภูมิ แผนที่ เส้นทางที่พระพุทธเจ้าเดินทางออกบวช จากเมืองนั้นไปเมืองนี้ กี่กิโลเมตร ตรัสรู้แล้วเดินทางไปพบปัญจวัคคีย์ จากต้นศรีมหาโพธิ์ ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระยะทางเท่าไร จากไหนไปไหน โดยปกติผมก็รู้อยู่แล้วว่าเหตุการเป็นอย่างไร แต่รู้แบบแบน ๆ สองมิติคือรู้ว่ามีเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ในรายการนี้เขาแสดงให้เห็นว่าการเดินทางนั้นเดินยังไงไกลแค่ไหนพื้นที่เป็นอย่างไร ทำให้เห็นเป็นภาพเป็นอีกมุมหนึ่งเหมือนมีมิติเพิ่มขึ้นมาเป็นสามมิติ

คิดดูเอาก็แล้วกันว่าคนที่ฝักใฝ่พุทธศาสนามาก ๆ จะมีความสนใจเรื่องราวพวกนี้แค่ไหน และยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งผมถือเป็นบรมครู ในการสอนให้เจริญสติ ให้ภาวนา ผมมีความเคารพในตัวท่านมาก ๆ เคารพในรูปแบบที่เป็นการนับถืออย่างสูง เหมือนเรานับถือครูบาอาจารย์ผู้ที่สอนเราอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยไม่คิดหรือเอาสิ่งใด ๆ จากเราเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่ใช่นับถือแบบคนบางคนที่ไหว้พระเพื่อให้โชคดี ให้ถูกหวย ให้พ้นเคราะห์ ให้สอบติด ให้สอบผ่าน ให้หายป่วย ฯลฯ ผมก็งงว่าจะไปเอาอะไรกับท่านอีก สิ่งที่ท่านให้ท่านก็ให้ไว้อย่างเต็มที่แล้ว ไม่มีปิดบัง ไม่มีกั๊กกลัวลูกศิษย์จะเก่งเกินครู ท่านให้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เต็มกำลังความสามารถเท่าที่ท่านให้ได้แล้ว และก็สมบูรณ์แบบไม่มีข้อใดที่ติต้องได้เลย คิดถึงบุญคุณท่านอย่างนี้แล้วมันรู้สึกตื้นตันเหมือนน้ำตาจะไหล

ถ้าจะเปรียบเทียบก็เสมือนลูกที่เกิดมากำพร้าพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เสียตั้งแต่ยังเด็ก แต่อยู่มาวันหนึ่งมีคนบอกว่าจะเล่าเรื่องของพ่อแม่ให้ฟัง คิดดูเอาก็แล้วกันว่าคนคนนั้น หรือเด็กคนนั้นจะอยากฟังเรื่องราวที่เขาจะเล่าแค่ไหน ผมก็มีความรู้สึกอยากจะรู้เรื่องราวของพระพุทธเจ้าในลักษณะเดียวกันอย่างนั้น ลองคิดดูนะครับว่า ผมอยากดูขนาดนี้แล้วไม่ได้ดูผมจะไม่พอใจ และทุกข์มากแค่ไหน

ไม่น่าเชื่อผมไม่รู้สึกทุกข์เลย ไม่โมโห ไม่มีความรู้สึกไม่พอใจด้วย ตอนนั้นนั่งหยั่งลงไปในความรู้สึกของตัวเอง เป็นการรู้สึกตัวไปด้วย ไม่เห็นอาการกระวนกระวาย เห็นแต่ความนิ่งของใจ นิ่งจนผิดสังเกตุ จนงงว่าตัวเองเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ดูกี่ครั้งก็นิ่ง จะมีความอยากเล็ก ๆ กระเพื่อมบ้างบางครั้งแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เฮ้ยเป็นไปได้ยังไงเนี่ย ? งง ? จนลืมรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังงง !!!

ความอยากนั้นไม่ว่าจะอยากอะไรเป็นกิเลสหมด อยากดูละครน้ำเน่า หรืออยากดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า เป็นความอยากที่มาจากตัณหา คือ ภวตัณหาตัวเดียวกันหมด ไม่มีใครดีกว่าหรือเลวกว่า เป็นความอยากตัวเดียวกัน มีลักษณะอาการเหมือนกัน และก็ให้ผลเหมือนกันคือความทุกข์ ถ้าหากผมทุกข์เพราะไม่ได้ดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า แสดงว่าผมทุกข์เพราะพระพุทธศาสนา ทุกข์เพราะพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ด้วยซ้ำ ผมเคยเห็นชาวพุทธจำนวนมากทุกข์เพราะพระพุทธศาสนา ทุกข์เพราะไม่ได้ทำบุญ ทุกข์เพราะเห็นคนที่ไม่ดีมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้วทำเรื่องที่ไม่เหมาะกับสมณเพศ ทุกข์เพราะอยากดึงคนอื่นเข้ามาในพระพุทธศาสนาแต่เขาไม่สนใจ ฯลฯ แค่ทุกข์เพราะพระพุทธศาสนาก็ผิดทางแล้วครับ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เราแก้ที่ตัวเองก่อน หลังจากตัวเองดีแล้ว ค่อย ๆ เผยเผยแผ่สิ่งที่ดีงามและหมดจดนั้นไปให้คนอื่นเหมือนกับ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทุก ๆ องค์ที่ทำไว้ให้ดูเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอมา

ถ้าผมไม่ได้ดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าแล้วผมเกิดความทุกข์ แสดงว่าผมไม่ได้เดินตามรอยของพระพุทธองค์ เพราะนั่นเป็นการสวนกับทิศทางที่ท่านสอน แต่วันนี้ผมไม่ทุกข์ด้วยเหตุนี้ เป็นผลจากการหัดเจริญสติที่ผ่านมา ถึงแม้จะหัดได้แบบกิ๊กก๊อก เดินแบบช้า ๆ ยิ่งกว่าเต่าต้วมเตี้ยมขาหัก เดิน กระดึ๊บ....กระดึ๊บ....ไปก็ตาม แต่ก็พอให้ผลบ้างแล้ว ผมเข้าใจว่าผมคงพอจะเดินตามรอยพระพุทธเจ้าบ้างแล้ว ไม่ว่าผมจะได้ดูหรือไม่ได้ดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าก็ตาม

กราบอาจารย์ที่สูงเนิน

กราบอาจารย์ครั้งที่ ๔ ที่สูงเนิน

อาจารย์ปราโมทย์จะเดินทางไปกราบพระอุปัชฌาย์ที่จังหวัดสุรินทร์ และท่านได้แวะที่ อ.สูงเนิน เพราะพี่อาร์ต ซึ่งเป็นโยมอุปัฎฐากท่านมีเพื่อนสนิทอยู่ที่สูงเนิน ก็จะถือโอกาสแวะมาเจอเพื่อนด้วย

พี่บุญเลิศทราบข่าวจากคุณกิตติ ก็เลยชวนกันไป ไปถึงเที่ยงนิดหน่อย รออาจารย์ไม่ถึงสิบนาที อาจารย์ก็เดินทางมาถึง ก็ได้กราบท่านและท่านก็สอนเหมือนปกติที่ท่านสอนอยู่เป็นประจำ แล้วท่านก็ถามเราว่าเป็นไงบ้างภาวนา เราก็ตอบท่านว่า ก็ดีครับ แต่ว่ามันจะขี้เกียจไปหน่อย มันกลายเป็นคนเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไปแล้ว แต่ก่อนเวลาจะทำกิจการงานทุก ๆ อย่าง มันมีความอยากดึงเราให้ทำ แล้วความกลัวก็จะผลักเราให้ทำเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ ดึง กับดันเรา ให้ทำ ให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ตอนนี้เหมือนกับไอ้สองตัวนี้มันหมดฤทธิ์ แต่ตัวขี้เกียจกับตัวเฉื่อย ๆ มันทำงานแทน โดยทางใจแล้วถือว่าดีขึ้น (ไม่รู้ดีจริงหรือเปล่า) แต่ทางโลกแย่ลง อาจารย์ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยังไม่บวชท่านทำงานขยันมาก หน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แป็บเดียวก็เลื่อนขั้น แป็บเดียวก็เลื่อนขั้น ท่านบอกว่าเราต้องทำงานให้เต็มที่ นอกจากเวลางานค่อยมาดูจิตใจของเรา เข้าใจว่าท่านคงยกตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางให้เราเลิกขี้เกียจ

พี่บุญเลิศสงสัยว่าตัวเองตื่นหรือยัง อาจารย์บอกว่ายัง แล้วก็หันมาทางเรา แล้วก็พูดว่าเราก็เหมือนกัน ยังไม่ตื่นหรอก แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่าถ้าจิตมันตื่นนะ มันจะสว่างโพลงอยู่ทั้งวัน แล้วความทุกข์มันไม่มีหรอก ความทุกข์มันเกิดขึ้นไม่ได้ เราก็เลยถามว่า มันเป็นไปได้หรือครับอาจารย์ ท่านก็ตอบว่า เป็นไปได้สิ ง่าย ๆ นะ ไม่ยาก (แต่อาจารย์เคยบอกว่าหาคนที่ตื่นในโลกนี้ยากมาก) เราก็คิดว่าคงไม่ยากหรอกถ้าตื่นเป็น แต่ประเด็นสำคัญมันตื่นไม่เป็นนี่สิ

ตอนที่เรานั่งอยู่กับท่านเวลาเผลอแว็บนิดนึง ท่านก็จะทักทันทีว่าเผลอไปแล้วรู้มั๊ย แต่เชื่อไหมว่าที่แว็บนี่แว็บเล็กมาก แบบเล็กจนเกือบมองไม่เห็น ขนาดท่านทักให้ดูแล้วเราก็เหมือนเห็นแต่หางมันแว็บ ๆ แทบไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ และก็ไม่ได้เห็นเต็มตัวจะ ๆ ถ้าเป็นเหมือนรถวิ่งผ่านก็เห็นแต่ฝุ่น แต่ไม่เห็นตัวรถ (สำหรับเราอาจจะเล็กแต่สำหรับท่านอาจจะใหญ่มาก) เวลาเจอกับท่านเวลาเผลอแบบนี้ท่านจะทัก ซึ่งไอ้ตัวเผลอแบบนี้ปกติเรามองไม่เห็น ถ้าเปรียบเทียบ ตัวเผลอเป็นขนาดของสัตว์ เราก็จะเห็นตัวใหญ่ ๆ อย่างเช่น ช้าง วัว เสือ หรือไม่ก็แมว แล้วแต่สติช่วงนั้นเราไวแค่ไหน แต่เวลาเจออาจารย์เราจะไม่ค่อยหลงพวกนี้เพราะจะคอยระวังสติอยู่เสมอไม่ให้เผลอ ประมาณว่าตั้งใจเต็มที่ แต่ก็จะโดนท่านทักอยู่ดีประเภทที่ท่านทักก็ประมาณ หนู แมลงสาบ หรือมด อะไรพวกนี้ โดยปกติเราจะไม่เห็นความหลงพวกนี้เลย ในขณะที่เราคิดว่าเรามีสติ (บ้าง) แต่จริง ๆ แล้วเราเผลอแบบนี้ประจำ ตลอดเวลา ทั้งวัน วันนึงคงหลายพันหลายหมื่นครั้ง ทางสายนี้คงอีกยาวนาน

เราถามท่านว่าการปฏิบัติระหว่างคนบวชกับไม่บวชมีผลหรือเปล่า ท่านตอบว่าในระดับเริ่มต้นนั้นไม่มีผล เช่น ระดับโสดาบัน หรือ สกิทาคามี เผลอ ๆ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำเพราะจะโดนอารมณ์ทางโลกกระแทกบ่อย ๆ ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตของอารมณ์ได้บ่อยและมากกว่าคนที่บวช เพราะตอนบวชจะไม่ค่อยได้เจอกับอะไร อยู่เรื่อย ๆ สงบ ๆ ไปเผลอ ๆ จิตไปติดสบายอีกต่างหาก เผลอ ๆ จะก้าวหน้าช้ากว่าด้วยซ้ำ

ได้คุยกับท่านประมาณ ๒๐ นาที ก็กราบลาท่านเพราะเราต้องออกไปกินข้าว แล้วก็กลับไปทำงาน ส่วนท่านก็เดินทางต่อไปที่ จ. สุรินทร์ ก่อนกลับตอนกราบลาท่าน ท่านก็พูดว่า ถ้าอยากรู้ใจคนอื่นไม่ยากนะ ให้รู้ใจตัวเองก่อน พอรู้ใจตัวเองหมดแล้ว จะรู้ใจคนอื่นนี่ง่ายนิดเดียว

วันนี้ถือเป็นวันดีอีกวันหนึ่ง

Tuesday, June 07, 2005

เพื่อนร่วมทาง

เวลาที่ผมแนะนำให้ใครภาวนา มันเหมือนกับชวนคนเดินทางไปด้วยกัน บางคนแค่ชวนว่า ปะเดินไปทางนี้ด้วยกัน ก็เดินเลย บางคนต้องกระตุ้นบ่อย ๆ หน่อย บางคนทั้งดึง ทั้งดันก็ไม่ขยับเลย สำหรับคนสองประเภทหลัง สิ่งที่ผมทำส่วนใหญ่จะเป็นการกระตุ้นให้เขาเดินให้ได้ก่อน เพราะถ้าทำให้เขาเดินด้วยความมุ่งมั่นส่วนตัวไม่ได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง การเดินทางสายนี้ค่อนข้างยากและสับสนเอาการ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราอยู่ตรงไหน ใกล้ถึงหรือยัง เมื่อไหร่จะถึง จุดหมายจะมีจริงหรือเปล่า กำลังหลงทางอยู่หรือเปล่า กำลังเดินเข้าหาเป้าหมายหรือว่าเดินผิดทางห่างออกไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะดูเหมือนว่ามีเพื่อนในการภาวนา แต่แท้จริงแล้วตัวใครตัวมัน เดินคนเดียวไม่มีใครมารู้มาเห็นด้วยได้ มีแต่ตัวเองล้วน ๆ ที่สัมผัสอยู่กับแต่ละสภาวะ ณ เวลานั้น ๆ นอกเสียจากว่าจะได้อาจารย์ที่ดี ๆ แนะนำในบางครั้ง แต่ท่านก็อยู่กับเราตลอดไปไม่ได้ จะเห็นว่าความยากลำบากนั้นมีมากพอสมควร เพราะฉะนั้นใครขาดความมุ่งมั่นส่วนตัว ขาดกำลังใจที่เต็มเปี่ยม แล้วยากครับ ยากมาก

ส่วนคนที่ ออกเดินทางแล้ว ผมจะค่อย ๆ ให้สิ่งอื่น ๆ อาจจะให้รองเท้ากันหนาม ให้ร่มกันแดด ให้เข็มทิศ ให้แผนที่ ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ตามกำลังที่พอจะมี หรือถ้าผมไม่มีผมก็จะพาไปหาผู้ที่มีให้ท่านแนะนำให้อีกที ปัญหาสำหรับผู้ที่ออกเดินทางแล้วนั้นจะแตกต่างไปอีกแบบ ดังตัวอย่างที่ผมจะให้ดูข้างล่างนี้ เป็นเมลล์ที่ ปุ้ยเขากำลังสงสัยอยู่ เหมือนกับที่ผมเคยเจอมาก่อน ผมจะขอตอบเป็นตัวหนังสือสีเขียว นะครับ



ขอบคุณค่ะพี่โอห์ม แต่ปุ้ยมีปัญหาในการฟังค่ะ
เนื่องจากปุ้ยทำงานใน line เครื่องใน line ไม่มี Sound card and Program suppord ค่ะ
แต่ถ้าพี่มีเป็น Mp3 ให้ฟัง ปุ้ยก็ว่าจะพิจารณาซื้อตัวเล่น Mp3 ขนาดเล็ก ๆ (ประมาณพันกว่าบาท / กว่านิด ๆ พอนะ)
เพราะคิดไว้นานแล้วว่าจะซื้อค่ะ (มันอยู่ในแผนชีวิตอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่อยากให้ฟังแล้วหนูจะต้องเสียเงินหรอกค่ะ กลัวพี่จะคิดเสียใจ)
งั้นรอโบนัสก่อนนะคะ ... คิดว่าพอซื้อได้ แล้วจะขอเอามาโหลดจากเครื่องพี่โอห์มเลยละกันค่ะ (ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ)
ก็แล้วแต่นะแต่มีข้อเสนอแนะหน่อยว่าของที่ราคาพันกว่าบาทส่วนมากจะเป็นอุปกรณ์พวก Flash Memory ซึ่งความจุที่ได้ก็จะอยู่ในหลักร้อย MB เท่านั้นเอง ส่วนไฟล์ MP3 ที่เป็นธรรมะนั้นจะขนาดใหญ่มาก ส่วนใหญ่ประมาณ 40-50 MB ถ้าเครื่องของเรามีความจุน้อยใส่ไปแค่ 2-3 ไฟล์ก็เต็มแล้ว แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็ไม่เป็นไร มา Copy บ่อย ๆ เอาก็ได้

ที่พี่ต้นให้หนูดูตาม line หนูงง เพราะเว็บนี้หนูเข้าไปดูจนหมดแล้ว จนหนู Save text file มาอ่านหมดแล้ว ไม่มีรูปท่านนี่คะ
(แต่พอพี่ส่งมาให้ไปดูใหม่ หนูก็ยังไม่ได้เข้าไปอีกหรอกค่ะ...เครื่องใน Line ไม่เหมือนเครื่องพี่ ๆ นะคะ ต้องเข้าใจ ถ้ามีรูปส่งให้หนูดูทางโน๊ตจะเป็นพระคุณค่ะ
พอหนูอ่านประวัติ หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชโช ก็เลยเกิดสงสัยนิดหน่อยค่ะ บางทีการอยากรู้ประวัติท่านก็เป็นกิเลสที่น่าเบื่อเน๊อะ
แต่บางทีก็เถียงตัวเองว่า ประวัติท่าน (หลาย ๆ ท่าน) เป็นตัวสร้างศรัทธาอย่างถาวร โดยที่ลบล้างไม่ได้เลย เหมือนหลวงปู่ชา หลวงปู่ทองรัตน์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ 9ล9...
ถูกต้องครับการอยากทุก ๆ อย่างเป็นกิเลสหมด ไม่ว่าจะอยากอะไรก็ตาม แม้กระทั่งอยากพ้นทุกข์ อยากได้นิพพาน อยากรู้ประวัติครูบาอาจารย์ หลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวไว้ว่า พวกอยากได้นิพพานนี่กิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื่อไหมครับว่าความอยากพวกนี้ พออยากแล้วไม่ทำตาม ส่วนใหญ่จะไม่ทำตามเพราะความไม่อยาก คือไม่อยากให้ไอ้ตัวอยากมันทำงานได้สำเร็จ เป็นกิเลสอีกตัวที่ซ้อนขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร หันไปทางไหนก็เจอแต่กิเลส ทางนั้นก็ผิด ทางนี้ก็ผิด

วิธีการก็คือ พออยากแล้วให้รู้ให้ทันในขณะอยาก ณ วินาทีนั้นให้รู้ว่ามีความอยากขึ้นมา แค่นี้ก็เป็นการเห็นสภาวธรรมอีกตัวแล้วเป็นการปฏิบัติไปแล้ว แล้วถ้าสมควรอ่านก็อ่าน เพราะขณะอ่านไม่จำเป็นต้องมีกิเลส ในขณะที่อ่านจิตที่อยากมันจบลงไปแล้ว มันเหลือแต่จิตที่อ่านอยู่ก็อ่านไป แม้ขณะอ่านก็ดูความรู้สึกของเราไปได้เรื่อย ๆ มันไม่อยู่นิ่งหรอกครับ มันขึ้น ๆ ลง ๆ สร้างเป็นภาพขึ้นมาบ้าง ใส่ความเห็นลงไปบ้าง บางครั้งสายตาอ่านอยู่กับหนังสือ แต่ใจวิ่งแว็ปออกไปข้างนอกก็มี อันนี้ต้องสังเกตุเอา สติต้องไวพอควร
สำหรับผมเวลาปกติก็จะเจริญสติตามรู้กายใจไปเรื่อย ๆ แม้นั่งพิมพ์อยู่ขณะนี้ ก็รู้สึกตัวเป็นระยะ ๆ รู้สึกตัวแต่ละครั้งโลกมันเบาขึ้นไปเยอะครับ (แล้วคนอ่านรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า) พอผมจะอ่านหนังสือ บางครั้งผมถือเป็นช่วงพักของจิต เป็นการทำสมถะอีกรูแบบหนึ่ง อย่าเข้าใจว่าการทำสมถะนั้น จะต้องไปนั่งหลับตาอะไรเทือกนั้นอย่างเดียว สมถะแบบเบา ๆ สบาย ๆ อาจเกิดจากการอ่านหนังสือที่เราชอบ ในขณะที่อ่านจิตไปอยู่กับสิ่งที่อ่านเพียงอย่างเดียวไม่วิ่งหน้าวิ่งหลัง มันได้อ่านสิ่งที่มันชอบ มันก็จะมีความสุข แล้วมันก็จะมีความตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่เราอ่าน นี่ก็เป็นลักษณะอาการของสมถะนั่นเองครับ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมะ เหมือนผม นอกจากได้ทำในสิ่งที่จิตมันชอบแล้วมีความสุขแล้ว ยังได้ความรู้ดี ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

อาจารย์สายวัดป่าบางท่านในช่วงที่ท่านสอนลูกศิษย์ ช่วงไหนที่จะปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านจะไม่ให้ทำอะไรที่มันใช้ความคิดมากมาก ๆ อย่างเช่นการอ่าน การเขียนบันทึก แม้กระทั่งสิ่งที่เคยรู้มาก่อนเคยศึกษามาก่อนท่านก็บอกให้เก็บใส่ตู้ไว้ก่อน ในช่วงปฏิบัติไม่ต้องใช้ เพราะของพวกนี้มันอยู่ในขั้นของ สัญญา คือความจำ หรือ ความคิดทั้งหมด ในตอนปฺฏิบัติต้องลงไปเห็นสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง แต่ละขณะ แต่ละขณะ พวกความจำและความคิดต่าง ๆ ส่วนใหญ่มันเป็นอดีตหรือไม่ก็อนาคตทั้งนั้น มีแต่จะมาดึงจิตออกจากปัจจุบันทั้งนั้น ตัวปัจจุบันจริง ๆ ต้องเป็นสภาวะที่เราลงไปประจักษ์ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งแคบมาก

อีกประการที่ผมจะเตือนไว้อีกหน่อย คือเรื่องของความศรัทธา ตัวศรัทธามีมาก ๆ มันจะกลายเป็นงมงายได้ง่ายมาก ต้องระวังไว้หน่อย พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราปักใจเชื่ออะไร ง่าย ๆ ทีเดียว ท่านบอกว่าต้องให้ประจักษ์ด้วยตัวเองเสียก่อนจึง จะยึดถือ หรือจะละทิ้ง อย่าไปเชื่อเพราะอ่านมา ฟังมา คิดเอา เดาเอา อาจารย์สอนมา เพื่อนบอกมา ข่าวว่ามา ฯลฯ

มาคุยเรื่องปฏิบัติกันก่อนหน่อยละกัน
หนูก็ไม่อยากทำให้ความตั้งใจของพี่โอห์มกับพี่บุญเลิศผิดหวังหรอกนะคะ (อาจไม่หวังแต่เป็นการเมตตาเพื่อนมนุษย์)
ไม่หวังอะไรมากหรอกครับ ก็ทำเท่าที่ทำได้ มีคนภาวนาด้วยกันเยอะ ๆ ก็ดีครับเป็นเพื่อนร่วมทาง เพราะทางนี้คนเดินน้อย บางครั้งเดินคนเดียวก็วังเวงชอบกล แต่การคลุกคลีมากก็จะเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านได้ง่าย เอาเป็นว่าเอาให้พองามก็แล้วกัน
หนูพยายามฝึกตามรู้คร่าว ๆ ว่า
กาย
- ทำอะไร พิมพ์ มืออยู่ยังไง ตา ขา แขน ประมาณว่ารู้ทั่วตัว (เป็นศัพท์ที่ได้จากเว็บสันตินันท์ค่ะ)
รู้ทั่วตัวเหมือนไม่ได้เพ่งที่ส่วนใด แต่เห็นกาย (รวม ๆ คร่าว ๆ ถึงกิริยา) โดยไม่ได้สนใจลมหายใจแล้วค่ะ
แต่บางครั้งก็ดูลมหายใจที่ผ่านรูจมูกเข้า-ออก แต่ไม่ตามค่ะ เพราะตามแล้วอึดอัด บางทีก็หายใจสดุด เหมือนที่พี่โอห์มบอกว่าเราเพ่งเกินไป ไม่ใช่ตามรู้ แต่บังคับรู้เกินไป
เหมือนผมตอนใหม่ ๆ เลยครับ คือ พยายามจะรู้ตัวให้ทั่วพร้อม แต่มัน Over เกินไปมันก็เลยทะลุไปฝั่งเพ่งจ้องไว้ พอจิตจะวิ่งออกไปทำอย่างอื่นก็ดึงเข้ามาหาลมหายใจ หรือไม่ก็มาหาอะไรซักอย่าง เกิดอาการแน่นหน้าอกขึ้นมา แก้อยู่ตั้งนานกว่าจะหาย ตอนนั้นทำอยู่คนเดียวด้วย ถามใครก็ไม่ได้ เกือบแย่เหมือนกัน ตอนนั้นผมแก้อย่างนี้นะครับ พอขณะกำลังหลง ๆ อยู่แล้วรู้สึกตัวขึ้นมา ผมจะไม่ให้มันเพ่งคือ จะพยายามให้มันหลงครั้งใหม่อย่างเร็วที่สุด ไม่ดึงมันไว้ให้มันหลงให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้รู้ตัวใหม่อีกรอบไว ๆ ก็พบว่าดีขึ้น แต่ภายหลังพอทำไปนาน ๆ จึงรู้ว่าไอ้ตัวที่พยายามจะให้หลง ไอ้นี่ก็เป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ มันเผลอหลงไปแล้วหละ คือหลงไปบังคับให้มันหลง เป็นหลงซ้อนหลง อาจจะฟังดูงง ๆ หน่อยนะ แต่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ช่วงหลัง ๆ เป็นลักษณะปล่อยเลยตามเลย คือ มันอยากหลงก็หลง อยากเพ่งก็เพ่ง ก็ปล่อยมัน ค่อย ๆ รู้ไปเรื่อย ๆ แค่ไหนเอาแค่นั้น ถ้ามันอยากเพ่งก็ดูมันเพ่ง ดูไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเอง มันกระจอกจะตายไม่มีปัญญาเพ่งอยู่ได้เป็นชั่วโมงชั่วโมงหรอกครับ แป็บเดียก็หนีไปอีกแล้ว
จะดูลมหายใจ ดูกาย ดูอะไรก็ได้ครับแต่เป้าหมายของเรา คือ จิต พวกอื่น ๆ เหมือนเป็นเหยื่อล่อ ให้เห็นสภาวะของจิตได้บ่อย ๆ นั่นเป็นใช้ได้แล้วครับ เห็นจิตมันดิ้นไปดิ้นมา แกว่งไปแกว่งมาก็ใช้ได้แล้วครับ

ใจ
- ไม่สามารถแยกได้เท่าไหร่ค่ะ ว่าคิดเรื่องใดอยู่ จบตอนไหน เรื่องใหม่มาตอนไหน (ไม่สามารถรู้การเกิดขึ้น ตั้นอยู่ และดับไปขอเรื่องที่คิดได้ค่ะ)
ไม่ต้องแยกครับการไปนั่งแยกเป็นการหลงไปทำงาน ในส่วนของสมมุติบัญญัติ เอาแค่รู้ว่ามีการคิดเกิดขึ้นก็พอ คือถ้ารู้ว่าคิดแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรนี่สุดยอดครับแสดงว่าสัญญาตัวเดิมที่พึ่งดับไปทำงานไม่ทัน เพราะถ้าเราดันไปรู้ว่ามันคิดเรื่องอะไรเป็นการหลงไปในโลกสมมุติบัญญัติเรียบร้อยแล้วครับ เป็นการไปเอาสัญญาตัวที่พึ่งดับไปมาเป็นอารมณ์ตัวใหม่ซึ่งเป็นการหลงอีกชั้น
- แต่สังเกตแค่ว่า รู้สึกยังไงอยู่ เฉย เบื่อ ดีใจ ตื่นเต้น เสียใจ โกรธ สงสัย แค่นี้ รู้ว่าเอ้อนี่ตื่นเต้นนี่หว่า ... ใจเต้นเร็วว่ะ ลองหายใจเข้าซิ เออ ดีขึ้น เออมีสตินะ หาย เอ้า หาย....
- อ่านหนังสือไปได้มากแล้วค่ะ ส่วนใหญ่ เนื้อหาคล้าย ๆ กับที่เราเคยอ่านมา แต่การปฏิบัติซิ...ยังไม่ค่อยได้อะไรเลยค่ะ
ดีครับค่อย ๆ ทำไปดีแล้วครับ

มีความสงสัยในตัวเองคือ
- พี่โอห์มบอกว่าไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปหยุดคิด (ในหนังสือบอกว่าไม่ต้องเข้าไปปรุงแต่ง)
เหมือนหนูบอกว่าคิดถึงลูก ทำอะไรอยู่น้า แล้วก็มีอีกความคิดหนึ่งบอกว่า คิดทำไม คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟุ้งเปล่า ๆ (2 ตัว 2 ความคิดมันเถียงกัน)
พี่โอห์มก็บอกว่า ยังไม่ถูก ... ให้ตามรู้เฉย ๆ แล้วสังเกตุว่ามันหยุดตอนไหน แค่นั้น
หนูก็กลับมาทำ พอมันจะคิด เออ ไม่ใช่มีแค่ 2 มีอีกตัวด้วยคราวนี้หนักกว่าเก่ามีตัวที่ 3 ด้วย... มันบอกว่า ก็พี่เค้าบอกว่าไม่ต้องไปหยุดมันไง ทำไมดื้อจังวะ ไม่ทำตามเค้าจะรู้ได้ยังไง
ไอ้ตัวแรกมันก็หยุดเอง หยุดเองกลางทาง โดยที่ยังไม่ได้ไปบอกว่าหยุดเลยค่ะ มันเบื่อเอง หนูว่าเหมือนมันจะรู้ว่า อีกตัวในตัวเรา หรืออีกหลายตัวจะวุ่นวายจะเถียงกัน ตัวแรกมันคงไม่อยากสับสัน
มันไม่อยากถูกด่าเอาว่าโง่ ฟุ้ง ปรุงแต่ง ซึ่งก็เป็นคำพูดที่เจ็บพอสมควร มันก็เลยหยุดเอง แล้วหนูก็กลับมาที่กายใหม่ เดิน หายใจเข้า หยิบ จับ .....ไปเรื่อย ๆ ค่ะ แต่จะพยายามรู้ทั้งตัว
มันเป็นแบบนี้แหละครับ บางครั้งมันก็เถียงกันสองตัวสามตัว บางครั้งมันก็ด่าตัวเอง บางครั้งมันก็ไปเอาธรรมะของครูบาอาจารย์มาสอนตัวเอง วิธีการของผมคือไม่ห้าม ถ้ามันเกิดการเถียงกันขึ้นมา ผมจะรู้เฉย ๆ รู้ว่ามันกำลังเถียงกันแล้วก็ดูอย่างเดียวไม่เข้าไปแทรกแทรง แป็บเดียวครับ หายหัวไปไหนก็ไม่รู้

ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีสองตัวสามตัวหรอกครับ มันตัวเดียวนี่แหละ แต่มันสลับกันเกิดดับเล่นละครคนละตัวกัน ด้วยตัณหาคนละตัวกัน แต่มันเร็วมาก เร็วจนเราคิดว่ามันมีหลายตัว ที่ยกตัวอย่างมาผมนับดูได้ 4 - 5 ตัวนะครับลองดูดี ๆ ตัวหนึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็มีอีกตัวเกิดต่อมา ต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมือนลูกโซ่

เชื่อหรือเปล่าครับบางครั้งมันไม่ได้ด่าแค่ตัวเองนะครับเผลอ ๆ นึกปรามาส พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็มี (อย่าให้ผมเล่าเลยครับว่ามันนึกว่าอย่างไร เดี๋ยวมันจะไปติดในสัญญาของท่านแล้วจะลำบากเหมือนผม) แล้วแต่มันจะเป็นครับ ช่วงแรก ๆ ผมเจอแบบนี้แทบช๊อกครับ มันชักจะลามปามไปใหญ่แล้ว และที่สำคัญยิ่งห้ามยิ่งเหมือนยิ่งยุ ยิ่งกลัวมันคิด มันยิ่งคิดถึงบ่อย เหมือนคนอกหักนะครับ ยิ่งไม่อยากคิดยิ่งหนักกว่าเดิมอีก เพราะว่าความไม่อยากก็เป็นเชื้อไฟให้มันอีกตัว ผมเคยถามท่านอาจารย์ปราโมทย์ ท่านก็บอกว่า ธรรมดา จิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ บางทีมันก็นึกด่าครูบาอาจารย์ที่สอนเราขึ้นมาเฉยเลย มันแสดงอนัตตาให้ดูว่าเราควบคุมมันไม่ได้ มันไม่ใช่เรา แล้วท่านก็แนะนำว่าถ้ากังวลใจก็ให้ ไหว้พระขอขมา เพื่อให้สบายใจ ช่วงหลัง ๆ ผมก็ปล่อย แล้วแต่มันครับ มันอยากทำอะไรก็เรื่องของมัน เดี๋ยวมันก็ไปรับกรรมของมันเองแหละ พอปล่อยนะเหมือนกับว่ามันค่อย ๆ หายไปเอง แต่ยังไม่หมดนะครับ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่แต่น้อยมาก แล้วผมก็ไม่สนใจมันดัวย จะทำอะไรก็แล้วแต่มัน


ขอคั่น
ทั้งหมดอาจเรียบเรียงไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่นะคะ (สับสนใจตัวเองมิใช่น้อย)
ไม่เป็นไรครับใคร ๆ ก็สับสนครับ เป็นกันทุกคน เดี๋ยวดีเอง
แต่มันก็ได้แค่ ครั้งละ ไม่ถึง 1 นาทีที่กำลังรู้สึก (รู้สึกตัวทั่วพร้อม ตามคำในเว็บสันตินันท์) แต่ก็ลืมตัวหรือเผลอ ตามหนังสือ รู้ ตื่น เบิกบาน
เผลอบ่อยค่ะ บ่อยมาก ๆ นับจากวันที่คุยกับพี่ ตามได้ 5 ครั้ง ครั้งละไม่ถึง 1 นาที แล้วก็หาย ต่อมาก็เพิ่มจำนวนครั้งได้ แต่เพิ่มเวลาไม่ค่อยได้เลยค่ะ
เวลาไม่ต้องเพิ่มครับให้ลด เอาให้เหลือวินาทีเดียวยิ่งดี แต่จำนวนครั้งนี้เอาบ่อย ๆ ถี่ ๆ

ท้อ
แน่นอน ไม่รู้ว่าการเดินทางของเรา เราอยู่ที่ไหน ทางไกลแค่ไหน ไปถูกทางไหม จะไปได้ไหม...บางทีก็ร้องเพลง
ผมก็ไม่รู้ครับแต่พอเห็นลาง ๆ ได้ว่าไม่น่าจะผิดทาง
ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่เคยร้องเพลงแบบออกเสียงดัง เล่นลูกคอด้วยความสบายใจ ไม่รู้แหล่ะ หลงไปเลยเอาเลย แต่ก็ได้แค่ท่อนเดียวค่ะ สติแตกไปเลยก็ดี
พอกลับมารู้ตัวอีก ก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่คิดแต่เพลง (ใน line เปิดเพลงค่ะ ก็เลยปล่อยไปเลยในเวลาเบื่อ ๆ และ
ท้อ)

ให้กำลังใจตัวเอง
มีพี่ ๆ อยู่ อย่างน้อย ๆ พี่เค้าคงไม่ปล่อยให้เราหลงทางหรอกว้า...อย่างน้อย ๆ พี่เค้าก็คงจะพอแนะให้เราพอหากินเองได้ ชี้ทางได้ แล้วเราก็ไปเอง...เอาล่ะวะ เป็นไงเป็นกัน
จะเป็นลูกศิษย์พระตถาคตต้องใจเด็ดครับ ถึงผมจะไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่ก็พอหาครูบาอาจารย์ให้ได้ครับ
มีทางแล้ว มีแสงสว่างแล้ว เอาล่ะวะ แสงหายไปแล้ว เอาล่ะวะ คลำเอาก็ได้ (เออ ดูซิว่าความฟุ้งของปุ้ยมันคุยกันได้มากขนาดไหน ฮ่า ๆ "อวดความโง่ให้ผู้รู้ฟังนี่ก็ดีนะ ... สบายใจดี"
เป็นเหมือนกันครับ ประโยคนี้ผมอ่านแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดี ทำให้จิตผมเปลี่ยนอารมณ์จากการพยายามตั้งใจมาเป็นผ่อนคลายได้เหมือนกันนะ นี่ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทำให้คนอารมณ์ดี

งั้นสรุป (คิดว่าจะไม่มีสรุปซะแล้ว ตัวเองยังสรุปไม่ค่อยได้เลย)
หลังโบนัสหนูจะขึ้นไปขอไฟล์ละกันนะคะ เอาไว้ฟังคนเดียวอย่างต่อเนื่องและมีสมาธิคนเดียวกับหูฟัง (พี่ต้นชอบฟัง เหมือนมีตัวต้นแบบให้ดูเลย ฮ่า ๆ )
ขออนุโมทนาในความเมตตาของพี่ ๆ ค่ะ อาจไม่เป็นศิษย์ที่ดี ดื้อและหัวแข็ง ไม่เป็นไรค่ะพี่อย่าตั้งความหวังว่าหนูจะตื่นอย่างพี่ละกัน (หนูก็ยังไม่กล้าหวังเล้ย)
ขอบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง จากใจจริง


สาธุ
โอปอร์

ขอให้เจริญในธรรมครับ

วันที่ ๒๖๙ กัลยาณมิตร

กัลยาณมิตร คำนี้เป็นคำที่มีความไพเราะอยู่ในตัว ทั้งความหมายก็ดี เป็นคำที่ผมชอบมากคำหนึ่ง คำว่ากัลยาณมิตร ความหมายในสามัญสำนึกของคนทั่วไป หมายถึง เพื่อนที่ดี ในความหมายส่วนตัวของผมหมายถึง เพื่อนที่ดีทางจิตวิญญาณ ของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยว ต่างคนต่างเกิดต่างตาย เวียนมาเจอกันแล้วก็จากกัน เจอคนโน้นเจอคนนี้ในฐานะ เพื่อน พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา แล้วก็จากกันอีก แล้วก็พบกันใหม่ บางคนก็ได้พบกันบ่อย บางคนก็พบกันน้อย แล้วแต่กรรมที่ทำร่วมกัน เพราะฉะนั้นคำว่ากัลยาณมิตรในความหมายของผมก็คือ นักเดินทางผู้ซึ่งมาร่วมเดินทางไปด้วยกัน ในระยะทางสั้น ๆ สายหนึ่งก่อนจะจากกัน แต่ขณะเดินร่วมทางกันนั้นก็ได้ส่งเสริม ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ช่วยพยุง ช่วยแนะนำในสิ่งที่ดี และที่สำคัญเป็นเพื่อนผู้ซึ่งเดินไปในทิศทางเดียวกัน สู่จุดหมายเดียวกัน ผู้ที่เกิดมาเจอกับผมแล้วร่วมเดินในสายทางแห่งธรรมไปกับผม ผมถือว่าท่านเหล่านั้นเป็น กัลยาณมิตร ของผม

ส่วนในพระไตรปิฎกนั้น กัลยาณมิตร หมายถึง ครูอาจารย์ผู้คอยชี้แนะ ไม่ให้เราหลงทาง เป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ นอกเหนือจาก โยนิโสมนสิการ ซึ่งหาได้ยากในสมัยปัจจุบันแต่ก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ยังพอหาได้

พี่ปิ่นเป็นกัลยาณมิตรของผมคนหนึ่งที่มีบุญคุณกับผมมาก ผมไม่ค่อยได้เจอกับพี่ปิ่นบ่อยนัก ถึงแม้เราจะอยู่บริษัทเดียวกัน แต่เราก็อยู่คนละโรงงาน แต่ทุกครั้งที่เจอกันจะมีแต่สิ่งที่ดี ๆ เสมอ ในเชิงปริมาณนั้นน้อย แต่คุณภาพนั้นคับแก้ว ผมขออนุญาตเอา เมลล์ที่คุยติดต่อกับพี่ปิ่นมา บันทึกไว้ ณ ที่นี้

/----------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีครับโอม สบายดีเหรอ? ไม่ได้เจอกันนานเลย การปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้างครับช่วงนี้ ( ^_^ )

พี่ปิ่น

ps, สิ้นเดือนนี้วันที่ 30 มิย. พี่เชิญคุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย มาบรรยายที่ซีเกท เทพารักษ์น่ะ ( แกก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ด้วยเช่นกัน)
ลองดูประวัตินะ เผื่อโอมมาเทพารักษ์ช่วงนั้น ---> Link ตอนแรกพี่ก็เชิญแกไปโคราชด้วยเช่นกันแต่แกไม่สะดวก เลยกลายเป็นที่นี่ที่เดียวเอง

/-----------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีครับพี่ปิ่น

ผมสบายดีครับ จะมีบ้างก็อาการปวดหลังที่เป็นมานานมาก เป็นสิบปีแล้ว ช่วงนี้ชักกำเริบ พี่เชื่อไหมครับว่าอายุขนาดผมมีปัญหาเรื่องปวดหลังเหมือนคนแก่เลย สงสัยเคยทำกรรมไม่ค่อยดีไว้ เลยต้องมารับวิบาก แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะจิตใจไม่ได้ไปทุกข์กับมัน มันปวดก็ให้มันปวดไป พี่เองก็เคยปวดเมื่อหลายปีมาแล้วเช่นกันครับ ปวดจนขนาดเดินไม่ได้เลยแต่เป็นอยู่ประมาณอาทิตย์เดียวก็หายไปแบบไม่มีร่องรอย
เป็นเรื่องที่แปลกเช่นกัน คงเป็นกรรมลักษณะคล้ายๆกันแน่เลยในอดีต แต่พี่เองตั้งแต่เล็กจน 10 ขวบกว่า จะเป็นคนที่มีบาดแผลบ่อยมากเดี๋ยวมีดบาด หัวแตกฯลฯ ต้องเย็บแผลกันตลอด มีคนบอกว่าสงสัยเคยเป็น
พวกนักรบโบราณมาก่อน เลยต้องเลือดตกยางออกบ่อยๆ


การปฏิบัติก็ดีนะครับ คิดว่าคงเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ถึงมันจะขึ้น ๆ ลง ๆ ซึ่งก็เป็นปกติของมัน แต่ไ่ม่รู้ว่าช่วงนี้ความทุกข์ตัวใหญ่ ๆ มันหายหัวไปไหน ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็น เห็นแต่ตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ปฏิบัติไปปฏิับัติมา ชักเอะใจ เอ๊ะ นี่มันจะสบายไปหรือเปล่า แล้วเหมือนผมไม่ได้ทำอะไรเลย คือ ไอ้ตัวอารมณ์ มันก็วิ่งขึ้นลงตามประสาของมัน ได้ตัวสติมันก็ทำงานของมันเอง ทำบ้างไม่ทำบ้างก็แล้วแต่มัน แต่รู้สึกว่ามันเก่งขึ้นเรื่อย ๆ มันเก่งของมันเอง ทำไปทำมาจะว่าปฏิบัติก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ปฏิบัติก็ไม่ใช่ เพราะผมไม่ได้ทำ มันทำของมันเอง ไม่เป็นไรเรื่องของมันปล่อยมันไปเถอะครับ (พูดเหมือนเป็นคนอื่นเลยเนอะ ^_^) อย่างนี้แหละครับ อย่างที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านว่า แรกๆกิเลสมันก็หน้าตาเหมือนผู้ร้าย เราเห็นปุ๊บ ก็รู้ปั๊บ แต่พอกิเลสมันละเอียดขึ้น มันก็เหมือนผู้ร้ายที่หน้าเหมือนพระเอกทำให้เราดูยากขึ้นๆ ถ้าเรารู้ตัวเป็นแล้วก็ไม่ต้องกังวลครับ ดูจิตไปเรื่อยๆ มันก็จะพัฒนาของมันไปเองครับ

ผมกำลังเริ่มทำหลาย ๆ อย่าง ตั้งใจว่าจะทำให้สังคม ประเทศชาตินี่แหละครับ มีที่เกี่ยวกับ ธรรมะ คือ

- ผมกำลังช่วยอาจารย์มหาธีรนาถ พิมพ์ประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร ซึ่งท่านก็เป็น ศิษย์หลวงปู่มั่น รุ่น ๆ เดียวกับหลวงตามหาบัว นั่นแหละครับ เวลาไปออกงานจะเห็นท่านไปด้วยกันบ่อย ๆ แต่ตอนนี้ท่านชราภาพมากแล้ว _/\_อนุโมทนาด้วยครับนับว่าเป็นงานกุศลที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง การได้ช่วยเหลือกิจการบุญแบบนี้หาได้ยากนัก

- และอีกอันก็ช่วยท่านพิมพ์ คู่มือนักธรรมชั้นตรีเพื่อเอาไปแจกให้นักศึกษาที่กำลังศึกษาธรรมะ และจะสอบนักธรรมชั้นตรีปลายปีนี้ อาจารย์ท่านบอกว่าจะให้ผมสอบนักธรรมชั้นตรีกับเขาด้วย แต่ผมคิดไปคิดมา ผมไม่สอบดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเพิ่ม มานะ ให้ตัวเองเปล่า ๆ เดี๋ยวคิดว่าตัวเองเก่ง ไม่เอา ผมว่าจะอ่านให้มีความรู้ก็พอแล้ว ระดับขั้นชั้นนั้นชั้นนี้ถ้าเอามาเกรงว่ามันจะเป็นพิษกับตัวเอง ผมดูแล้วพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ใช่ท่านปฏิบัติอย่างเดียว ปริยัติท่านก็เอาใจใส่เหมือนกัน เช่นหลวงปู่มั่น นี่เท่าที่ทราบ ปริยัติ ท่านก็แน่นมาก ท่านศึกษาอยู่หลายปีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านไม่ไปสอบเอาระดับขั้นเท่านั้นเอง
พี่เองก็มีความเห็นเหมือนกับโอมครับ ตัวพี่เองก็ไม่เคยชอบการแข่งขันอะไรเลยตั้งแต่เด็กแล้ว รู้สึกว่าทำไมต้องอวดกัน ทำไมต้องเราดีกว่าเขา เขาแย่กว่าเราฯลฯ

- อีกอันกำลังทำเว็ปให้วัดป่าภูผาสูง (www.pupasoong.com) จะรวบรวมงานที่มีคุณภาพที่ดี เอามาเผยแพร่ เพราะที่นี่มีงานที่ดีมีคุณภาพเป็นจำนวนมาก แต่พอพิมพ์แจก หรือ Write CD แจกแล้วก็หมด คนอยากได้ทีหลังก็หาลำบาก ผมจะเอาไฟล์ต้นฉบับที่ส่งโรงพิมพ์ และก็ไฟล์ MP3 ต่าง ๆ มาให้ Download กัน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่มั่น นี่ผมจะเน้นเป็นพิเศษ เพราะผมถือว่าท่านมีบุญคุณกับผมมาก เหมือนกับอาจารย์ปราโมทย์ และพระพุทธเจ้าของเรา นี่แหละครับ ทั้งสามท่านนี้มีความสำคัญกับผมมากจริง ๆ _/\_ อนุโมทนาด้วยครับ ถือเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับเพราะกว้างขวางและไพศาลมาก

- อีกอันกำลังทำ Blog เกี่ยวกับ ธรรมะ กำลังคิดอยู่ว่า จะใช้ชื่อ กัลยาณมิตร www.kanlayanamitr.com หรือว่า www.dhammablog.com ดี (พี่ปิ่นช่่วยโวตมาก็ดีนะครับ ถ้ามี 2 ชื่อพี่ว่าใช้www.kanlayanamitr.com น่าจะดีครับ ) เว็ปนี้จะเป็นลักษณะการทำงานของ blog หรือ weblog นั้นเอง คือ แต่ละคนจะไ้ด้บันทึก การปฏิบัติธรรมของตนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันเริ่มต้น เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัว และจะเปิดเผยให้คนอื่นอ่านหรือไม่ก็ได้ (คล้าย ๆ กับลักษณะของตัวละครใน ๗ เดือนบรรลุธรรม นะครับ แต่ทำผ่าน blog) และถ้าเปิดเผยให้คนอื่นอ่าน ก็อาจจะมีคนเข้ามาช่วย Comment ได้ เช่นผู้ที่เคยเดินทางผ่านจุดนั้น ๆ มาก่อน หรืออาจจะเห็นว่าเขากำลังออกนอนลู่นอกทาง ก็ช่วยดึงเข้ามาในทางได้ โดยปกติแล้วผมก็จะบันทึกการปฏิบัติของผมอยู่แล้ว แต่่ว่ามันอยู่ในเครื่องของผม เท่าที่ดูผมว่ามันเป็นประโยชน์มาก เวลาผมกลับไปอ่านดู จะเห็นความก้าวหน้า เห็นความผิดเดิม ๆ ทำให้ไม่ผิดซ้ำ เห็นจิตใจตัวเองในแต่ละช่วง ฯลฯ บางครั้งเราคลุกอยู่วงในกับปัญหาแล้วมองไม่ออก พอมาอ่านบันทึกของตัวเองก็เหมือนกับการถอยออกมาเป็นคนมองตัวละครอีกครั้งหนึ่ง ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน และอีกประการก็คือ เพื่อน ๆ ที่เริ่มปฏิบัติใหม่ ๆ ผมพบว่าเขาก็จะเจอปัญหาคล้าย ๆ กับผมเหมือนกันในตอนเริ่มต้น ถ้าเขาสามารถได้มาอ่านของผมก็เหมือนเป็นการตอบคำถามเขาไปในตัว ดีมากเลยครับเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานแบบไม่เจาะจงด้วยเลยทีเดียว

- อีกอันกำลังจัดทำ www.freebizsoft.com ผมจะเขียน Software แจกสำหรับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ให้กับประเทศไทย เพื่อช่วยให้ธุรกิจเหล่านั้นสามารถแข่งขันกับต่่างประเทศได้ เพื่อให้ธุรกิจเหล่านั้นเพิ่มศักยภาพในการจัดการบริหาร ด้วย IT บริษัทขนาดเล็กต่าง ๆ ทั่วประเทศไม่มีปัญญาไปจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนซอฟแวร์มาเขียนให้ตัวเองหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็จะซื้อของถูก ๆ ราคา สองสามร้อยมาใช้ซึ่งก็ไ่ม่ค่อยมีคุณภาพ ถ้าเป็นของดี ๆ ก็จะแพงมาก ซึ่งก็จะแอบใช้ของเถื่อนกัน ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งศีล และเป็นการทำกรรมชั่วอย่างเลือกไม่ได้อีกต่างหาก ผมจะมาช่วยทำตรงนี้ให้แล้วให้ Download ฟรี ไปใช้ โดยผมจะเริ่มจาก Software ที่ Common กันมาก ๆ เช่น ร้านขายอะไหล่ ร้านขายของชำ ร้านขายหนังสือ ร้านขายยา อู่ซ่อมรถ ศูนย์บริการ ซอฟแวร์ทางการเกษตร ฯลฯ และ Software ของผมจะแทรกธรรมะให้อ่านทุก ๆ ครั้งที่เปิดใช้งานด้วย เหมือน Trip ของโปรแกรมอื่น ๆ สิ่งที่ผมทำน่าจะช่วยให้ธุรกิจไทยได้มีเครื่องมือดี ๆ ได้ใช้ของถูกต้องตามกฎหมาย การใช้ของเถื่อนกันทั้งประเทศนี้ผมว่ามันเป็นกรรมระดับประเทศ เราถึงได้รับกรรมกันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ คือการที่ต้องตกเป็น ประเทศที่ต้องเป็นเมืองขึ้นทาง Software ไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปเป็นผู้ผลิตเองได้ ต้องตามเขาไปเรื่อย ๆ ในอนาคตถ้าผมทำได้ดี ก็จะมีคนใช้มาก อาจจะมีคนช่วนสนับสนุนเ และอาจจะหาโปรแกรมเมอร์คนอื่น ๆ มาช่วย หรือ อาจจะทำโปรเจคกับทางมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท มาช่วยกันเขียน Software เพื่อสังคมไทย โดยมีเว็ปของผมเป็นศูนย์กลาง เป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้กรรมในระดับประเทศคงจะทุเลาลงแน่เลย ถือว่าโอมได้ทำกุศลที่ยิ่งใหญ่อีกแล้ว

เขียนยาวไปหน่อยนะครับ ผมเล่าให้พี่ฟังเผื่อว่าพี่จะมีข้อเสนอแนะอะไร ที่เป็นประโยชน์ ทั้งแ่ก่ผมและแก่สังคม คงไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติม นอกจากขออวยพรให้โอมถึงฝั่งในเร็ววันนะครับ เหมือนดังที่พี่ได้แนะนำอาจารย์ที่ดีอย่างอาจารย์ปราโมทย์ ให้ผมแล้วรอบหนึ่งความรู้สึกผมพี่ก็เหมือนพี่ชายคนนึงที่ผมนับถือและขอบคุณอยู่ในใจเสมอ พี่คงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะกล่าวขอบคุณอีกรอบ ยินดีมากครับที่ได้มีโอกาส
มีส่วนในการส่งเสริมการปฏิบัติของโอม ถ้ามีสิ่งใดที่พี่ช่วยได้ก็ยินดีนะครับ ( ^_^ ) มีโอกาสคงได้พบกันอีก

ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ

โอม