Saturday, August 28, 2004

ประทีปส่องธรรม

เมื่อตอนต้นเดือนได้รับหนังสือจากพี่รัตน์ ทำงานอยู่แผนก Test ที่ เทพารักษ์ ได้หนังสือมาหลายเล่ม แต่เล่มที่เห็นว่าดีมาก ๆ คือ ประทีปส่องธรรม ผู้แต่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เทสก์ และ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตั้งแต่สมัยยังเป็นฆาราวาส ปัจจุบันท่านออกบวชแล้ว เนื้อหาในหนังสือ จะเป็นแนวการปฏิบัติแบบ วิปัสนากรรมฐาน ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยได้เรียนรู้แต่ แนวสมถกรรมฐาน สิ่งที่โดนใจมากที่สุดก็คือ ท่านสามารถแจกแจงทั้งในแนววิปัสนา กรรมฐาน และแนวสมถกรรมฐาน ได้อย่างละเอียดละออ เข้าใจง่าย บอกขั้นตอนอย่างละเอียด จะว่าไปแล้ว เป็นหนังสือแนะนำการปฏิบัติ ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมาก็ว่าได้ เข้าใจว่าผู้ที่มีพื้นฐานมาบ้างอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเข้าใจพุทธศาสนาอย่างมาก ภายหลังทราบมาว่าบางคนอ่านแล้วหนักเกินไปไม่ค่อยรู้เรื่อง คิดว่าคนคนนั้นต้องการปูพื้นอีกนิดหน่อยก็จะเข้าใจได้อย่างดี
เมื่อเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ดีมากจึงมีความคิดที่จะพิมพ์แจก ตั้งใจว่าจะรวมเงินของญาติพี่น้อง และเพื่อน ๆ ทั้งหมดมาจัดพิมพ์ แต่คิดว่าคงอีกนาน พอดีได้โทรไปคุยกับพี่ปิ่นที่เทพารักษ์ซึ่งเป็นคนแจกหนังสือเล่มนี้ ท่านก็กรุณาติดต่อที่โรงพิมพ์ให้ ตั้งใจว่าจะขอซื้อสัก 20 เล่มเพื่อเอามาแจกก่อน แต่ปรากฏว่า หนังสือที่เหลืออยู่ที่โรงพิมพ์ มีเพียง 14 เล่ม จึงขอเหมาหมดเลย เพื่อเอามาแจกให้ คนที่คิดว่าพร้อมที่จะรับ
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สอนการปฏิบัติในแนวทางวิปัสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ จึงได้แนวทางการปฏิบัติอีกแนวหนึ่งคือ การตามรูจิต เป็นสิ่งใหม่สำหรับข้าพเจ้าจริง ๆ ความจริงแล้วเคยได้ยินเรื่องการตามรู้จิตมาจากเทศนาของหลวงพ่อพุธ มากก่อนแล้ว แต่ด้วยความโง่ของข้าพเจ้าจึงไม่เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อแสดง พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้จึงได้เข้าใจว่า คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง จึงได้แนวทางปฏิบัติที่ดีอีกแนวทางหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนนี้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติมาก แต่หลังจากทำมาแล้วระยะนึงพบว่ายังไม่ไปถึงไหนเลย ทำมั่วแบบนี้แบบนั้นไปเรื่อย ๆ คราวนี้เอาใหม่ จะพยายามตามรู้จิตเรื่อย ๆ ถ้ามีเวลาโอกาสเอื้ออำนวยก็จะนั่งสมาธิโดยการใช้อานาปานุสติกรรมฐานเป็นหลัก หรืออาจจะแถมด้วยพุทธานุสติกรรมฐานก็ได้ หรือถ้าวันไหนอยากลองกสิณ ก็จะลองอาโลกสิณ แต่ไม่สนใจกสิณมากนัก เป็นของแถม สิ่งที่ตั้งใจมาก ก็คือ อานาปานุสติกรรมฐานจะต้องเอาให้ได้
หลังจากลองตามรู้จิตของตนเองมาระยะนึง พึ่งจะรู้ตัวเองว่า วันนึงตั่งแต่เช้าตื่นนอนรู้สึกตัว จิตจะเร่มคิดฟุ้งซ่านทันที คิดนั่นคิดนี่คิดไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้จบ เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้น ภายใน 10 นาทีคิดไปแล้วไม่น้อยกว่า 20-30 เรื่อง แล้วส่วนใหญ่ก็จะคิดย้อนเรื่องเดิม บางทีวันนึง อาจจะคิดถึงเรื่องเดิมเป็นร้อย ๆ รอบ ไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งเข้านอน ไม่รู้มันคิดอะไรของมัน ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคิดเห็นมันคิดทั้งวัน และก็ห้ามมันไม่ได้ แต่จะรู้สึกตัวอยู่เกือบทั้งวันว่ามันคิดอะไรบ้าง พอรู้มันก็จะหยุดแป๊บนึง แล้วมันก็เอาอีก คิดอีกเรื่องนึง พอคิดไปแป็บนึงจบ ก็คิดเรื่องใหม่ต่ออีก ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคิด ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดมายอมรับจริง ๆ ว่าไม่เคยเห็นมันคิดเลย เพราะเราคิดไปกับมันนั่นเอง ตอนนี้มีอีกตัวนึงมาเห็นมัน ซึ่งตัวนี้ก็เป็นตัวคิดอีกตัวนึงเหมือนกัน ตอนนี้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ท่านบอกว่าเห็นแล้วก็เห็น ก็ปล่อยมันไป ตอนนี้ได้แค่นี้ในส่วนของการตามรู้ ถือว่าดีมาก ได้เจอในสิ่งมี่ไม่เคยเจอมาก่อน
ส่วนการภาวนานั้น พอจะนั่งทำสมาธิหน่อยไอ้จิตตัวเดิมมันก็ไม่ยอมอีก มันตั้งท่าจะคิดอย่างเดียว ทำยังไงมันก็ไม่ยอม แต่ก็พอเข้าใจมันอยู่เหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว จู่ ๆ จะไปห้ามไม่ให้มันทำมันก็ไม่ยอมง่าย ๆ ไอ้ตัวกิเลสก็คอยเป่าหู หลอกล่ออยู่ ยิ่งยากกันไปใหญ่ ตามที่ศึกษามาพบว่านิสัยนี่มันติดตัวมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว มันก็จะเป็นแบบเดิม ๆ นิสัยเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ คนที่ชอบแบบไหนเกิดมาก็จะชอบแบบนั้นอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ของเดิมไม่มีทางหายไปไหน กรรมก็ไม่หายไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่กรรมดีชั่วที่ส่งผลล้วน ๆ เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ นี่เป็นสาเหตุให้ตอนนี้พยายามทำดีสุดชีวิต อย่างน้อยก็เป็นเครื่องมือในการเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่ให้ลำบากเกินไปนัก แต่ถ้าเป็นไปได้ พอกันที ชาตินี้ ไม่เอาอีกแล้วเวียนว่ายตายเกิด อธิษฐานไว้อย่างนั้นทุกวัน