Monday, June 12, 2006

อินทรีย์ยังอ่อน (ครั้งที่ ๘)

วันนี้เดินทางมาที่จังหวัดชลบุรีเพื่อกราบท่านอาจารย์ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองที่มาที่นี่นับตั้งแต่ท่านอาจารย์ย้ายมาอยู่ที่ชลบุรี ครั้งแรกเป็นงานเปิดสวนสันติธรรม แห่งนี้ ครั้งนั้นไม่ได้สนทนากับท่านพระอาจารย์เพราะคนเยอะมาก ๆ

เดินทางมาถึงจังหวัดชลบุรีตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น แวะเข้าไปชวนอรรณพ กับ จู๊ด ทั้งสองต้องทำงานก็เลยไม่ว่าง นั่งคุยกับจู๊ดทำให้ทราบว่าจู๊ดไปกราบท่านอาจารย์ทุกวันอาทิตย์ ดูแล้วตั้งอกตั้งใจอยากที่จะปฏิบัติมาก แต่ยังเริ่มต้นไม่เป็น คิดว่าไม่นานคงเริ่มได้ และคงได้ดีด้วย

ตื่นเช้าไปซื้อของที่ตลาด อำเภอศรีราชา มีหลนเต้าเจี้ยวด้วยก็เลยซื้อไปถวายท่านอาจารย์ (สุดท้ายเราก็ได้กินด้วย) เดินทางไปถึงวัดประมาณ ๐๖.๓๐ น.

จัดอาหารเสร็จก็เอาขึ้นไปตั้งไว้เพื่อรอประเคน แล้วก็ไปนั่งรอท่านอาจารย์มาเทศน์รอบแรก โดยวันนี้ตั้งใจนั่งหน้าสุด ช่วงที่นั่งรอก็พิจารณาดูสถานที่รอบ ๆ ห้องโถงไปเล่น ๆ สถานที่ใหม่แห่งนี้กว้างกว่าที่เดิมพอสมควรดูระบบเครื่องเสียงต่าง ๆ ก็ดีขึ้น พระประธานองใหญ่กว่าที่เดิม แต่ผมว่าองค์ที่ตั้งอยู่ที่เดิมเค้าทำพระพุทธรูปยิ้มได้สวยกว่า และที่ใหม่นี้ที่ที่ท่านอาจารย์นั่ง ก็ทำเป็นแท่นสูงขึ้นไป ผมว่าทำสูงไปหน่อยทำให้เหมือนห่างไกลไม่ใกล้ชิดกันเหมือนที่เดิม หลังจากนั่งฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ ไม่นานท่านอาจารย์ก็เดินเข้ามา วันนี้ท่านพึ่งปลงผมเสร็จใหม่ ๆ ดูท่านหน้าตาสดใสมาก ดู ๆ ไปท่านอาจารย์ยิ้มเหมือนพระพุทธรูปเลย ถ้าเรายิ้มได้แบบนี้บ้างคงดี พออาจารย์ท่านนั่งลง ก็หันมาหาเราคนแรกเลย

"มาจากโคราชเลยเหรอ" ประโยคแรกที่ท่านพูดในวันนี้
ก็ตอบท่านว่า "ครับ"
"เป็นยังไงบ้างภาวนา"
"ช่วงนี้เหมือนไม่ค่อยได้ทำอะไรครับ"
"เราต้องทำนะ ต้องปฏิบัติตามรูปแบบ เพราะอินทรีย์ของเรายังอ่อนอยู่ ไม่ทำตามรูปแบบเลยไม่ได้นะ"
"ครับ"
"เคยทำอะไรก็ทำไป ทำแบบที่ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านสอนมานั่นแหละ จะท่องพุทโธ หรือกำหนดลมหายใจก็ได้ แล้วคอยมีสติไว้ จะเดินจรงกรมด้วยก็ได้"
"ครับ"
แล้วท่านก็อธิบายวิธีเจริญสติตามรูปแบบ ไปเรื่อย ๆ คล้าย ๆ กับทุกครั้งที่ท่านสอนจนจบ

ิอินทรีย์ยังอ่อน คำนี้ประทับลงไปในใจของเรามาก เพราะที่ผ่านมาผมก็เจริญสติมาเรื่อย ๆ ความรู้สึกตัวในแต่ละวันมีบ่อย แต่เหมือนกับมันไม่เฉียบ ไม่คม ตัดอารมณ์แบบปวกเปียกไม่มีกำลัง แถมช่วงหลังยังเกิดอาการปล่อยตามกิเลสเยอะ มันอยากทำอะไรก็ให้มันทำ แค่รู้เท่าทันมันก็พอ มันคิดมันทำไปแบบนั้น นี่มันเป็นอาการของคนหลงตัวเอง มันก็เลยเข้ารกเข้าพงไปแบบไม่รู้ตัว นี่ถ้าวันนี้ไม่ได้มาหาท่านอาจารย์คงเตลิดเปิดเปิงไปไกล

การภาวนานั้นยังไง ๆ ก็ต้องบังคับ กาย กับ วาจา คือจะเป็นประเภทมาเหนือเมฆกูเก่งไม่ต้องบังคับกาย ไม่ต้องบังคับวาจา แค่ให้รู้ทันตัวเองด้วยใจที่เป็นกลาง เดี๋ยวมันจะค่อย ๆ เข้าสู่ความเป็นกลางเอง แบบนี้จะไปไม่รอดกิเลสดึงลงข้างล่างหมดไม่ได้กินมันหรอกต้องแบบบังคับนี่แหละ หลังจากบังคับแล้วก็รู้ว่าบังคับ พยายามรู้ด้วยใจที่เป็นกลางแล้วมันจะค่อย ๆ เข้าสู่ความเป็นกลาง แบบนี้มันถึงจะไปรอด เข้าสู่ความเป็นกลางได้จริง ๆ เพราะเรารู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่บรรลุอรหันต์นั้น ท่านจะไม่ทำผิดทางกายวาจา เราก็ทำแบบที่ท่านทำไปเลยแต่ก็ต้องทำแบบบังคับเพราะจิตของเรายังไม่บริสุทธิ์ จริง ๆ แล้วก็ปฏิบัติตัวเจริญสติไปเรื่อย ๆ รู้รูปนามตามความเป็นจริง (ว่ามันบังคับ) สุดท้ายให้มันเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติทางนี้

กลับไปบ้านคราวนี้คงจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการภาวนากันยกเครื่องใหม่ทั้งหมด คือรู้สึกตัวระหว่างวันก็รู้ไป แต่ต้องเพิ่มการบังคับกายวาจา แล้วให้รู้ว่าบังคับเอา ส่วนรูปแบบก็ต้องใส่เข้าไป ทำสมถะ เดินจงกรม ก็ต้องทำ

ในช่วงที่สอง ท่านอาจารย์เล่าเรื่องขอทานหน้าวัดเชตวันให้ฟัง อันนี้ก็สะดุดเหมือนกัน เรื่องมีอยู่ว่า มีขอทานซึ่งมานั่งขอทานอยู่หน้าวัดเชตวันเป็นประจำคนนึง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ขอทานคนนี้หากได้ฟังธรรมของท่านตอนเป็นหนุ่มจะสามารถบรรละอรหันต์ได้ ถ้าได้ฟังตอนวัยกลางคนจะได้บรรลุพระอนาคามี แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ร่างกายธาตุขันธุ์ไม่เอื้ออำนวยเสียแล้ว ฟังธรรมไปก็หมดโอกาสบรรลุธรรมเสียแล้ว เรื่องนี้เป็นคติเตือนใจว่า การภาวนาไม่ใช่ว่าจะทำตอนไหนก็ได้ อายุนั้นมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งอายุมากเท่าไหร่โอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นยิ่งน้อยลงไปทุกที

เพราะฉะนั้นอย่าพากันชล่าใจ พระอาจารย์ปราโมทย์ท่านก็กล่าวปิดท้ายหลังจากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า อย่าพากันคิดว่าจะเข้าวัดตอนแก่ ตอนแก่มันต้องเข้าโลง เข้าวัดตอนแก่มันจะไปได้อะไรมาก ต้องทำตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว แก่แล้วมันปฏิบัติลำบาก

ก่อนกลับก็เลยเอาหนังสือที่เตรียมมาไปถวายท่านอาจารย์ ก็มีหนังสือประวัติหลวงปู่ศรี หนังสือประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ หนังสือประวัติหลวงปู่สุวัจน์ และหนังสือพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ได้มาจากวัดป่าภูผาสูง เสร็จแล้วก็กราบท่านอาจารย์เดินทางกลับ ขณะขับรถกลับรู้สึกว่ามาเที่ยวนี้กำลังใจเต็มกลับไปจริง ๆ

เต็มด้วยความปิติ เต็มด้วยกำลังที่จะภาวนา ถ้าใจเป็นได้แบบนี้บ่อย ๆ คงไปได้ไกล เพราะเป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยกำลังใจที่จะภาวนา ไม่ใช่ความต้องการภาวนาด้วยความอยากหรือด้วยการบังคับ

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ท่านอาจารย์ช่วยเหลือเรานับตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดหูเปิดตาให้เรามาเห็นธรรมะตัวจริงของจริง ถ้าไม่ได้ท่านอาจารย์เราคงแย่ คงแย่จริง ๆ