Saturday, March 25, 2006

คืนธาตุ ๔ ให้ธรรมชาติเขาไป

ขณะนั่งอ่านประวัติผู้ตายอยู่หน้าเมรุเผาศพวัดพรหมประทาน ผมต้องหยุดอ่านเป็นระยะ ๆ เพื่อหลบจากอารมณ์เศร้าที่กระทบกับจิตเข้าตรง ๆ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาเหมือนแขกผู้มีเกียรติหลาย ๆ คน ต้องยอมรับว่าเรื่องราวนั้นเศร้าจริง ๆ ขนาดผมมีสติ รู้สึกตัวเป็นระยะ พออ่านประวัติ และถ้อยคำรำพันของ พ่อ แม่ น้องสาว น้องชาย และคนรักของผู้ตาย ที่กล่าวคำไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ จิตก็จะหลงเข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่องประหนึ่งว่า ตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จิตของเรานั้นยึดมั่นถือมั่นได้ง่ายถึงเพียงนี้ นับประสาอะไรกับคนที่ใกล้ชิดกับผู้ตายโดยตรง เรื่องราวที่ตีพิมพ์มาแจกในงานศพนั้นประหนึ่งละครที่นักประพันธ์เอกจรดปลายปากกาแต่งเรื่องราวไว้ แต่เสียดายที่ชีวิตจริง ๆ มันโหดร้าย ไม่จบแบบมีความสุขเหมือนละครทั่ว ๆ ไป

หลังจากผมอ่านจบไม่นานก็เริ่มพิธีกรรมต่าง ๆ แต่ดีหน่อยที่วัดนี้เป็นวัดป่า จึงตัดพิธีกรรมหลาย ๆ อย่างออกไป เช่นล้างหน้าศพ เป็นต้น ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะมันไม่จำเป็นเลย ล้างแล้วได้อะไร ไม่ล้างแล้วจะเป็นไร มันก็แค่ธาตุสี่ รอเข้าเตาเผาแค่นั้นเอง ก่อนจะเผาจริง ๆ มีพระรูปหนึ่งขึ้นธรรมมาสน์เพื่อเทศนาอบรมสั่งสอนญาติโยม ผมต้องยอมรับว่าพระองค์นี้ท่านกล้าหาญจริง ๆ ท่านเอาธรรมะแท้ ๆ มาสอน ซึ่งปกติวิสัยของสามัญชนจะรับไม่ค่อยได้ และดูเหมือนมันจะเดินสวนทางกันด้วยซ้ำ ผมนั่งฟังไปพลางหวั่น ๆ แทนหลวงพ่อว่าจะมีคนโมโหหลวงพ่อว่า ทำไมเทศน์อย่างนั้น ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็เถอะ

ธรรมะที่หลวงพ่อท่านเทศน์นั้นเริ่มด้วยพุทธพจน์เรื่องความตาย มนุษย์เรามีเกิดก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา เขาตายไปแล้วพวกเราจะมานั่งร้องไห้ มันไม่มีประโยชน์ ต่อให้ร้องยังไงก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้ ผมไม่รู้ว่าคนที่กำลังร้องไห้ฟังอยู่หรือเปล่า แล้วท่านก็เทศน์ต่อ ว่าเห็นคนที่ตายมั๊ย เขาเอาอะไรไปได้บ้าง ที่เรียนมาสูง ๆ จบวิศวะ ไปทำงาน ซื้อรถ ข้าวของเงินทองเครื่องใช้ พ่อ แม่ พี่ น้อง ฯลฯ ทุกอย่างไม่มีอะไรเอาไปได้เลย แม้กระทั่งตัวของเขาเองแท้ ๆ ยังเอาไปไม่ได้เลย สิ่งที่เอาไปได้จริง ๆ แล้วคือ บุญ และ บาป ที่ตัวเองทำไว้นั่นเอง แล้วความตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมาถึงเราเมื่อไหร่ พรุ่งนี้อาจจะถึงคิวไอ้ที่นั่ง ๆ อยู่ข้างหน้านี้ก็ได้ คนเราพอตายแล้วเป็นไง ตายแล้วไม่มีใครต้องการ ร่างกายก็กลายเป็นของหนัก เอาไว้บ้านนานก็ไม่ได้ ต้องรีบเอามาเผาทิ้งที่วัด ตัวร่างกายเองก็เน่าเหม็น ประกอบขึ้นด้วยธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นของไปยืมเขามา ตอนนี้คนที่นอนอยู่ในโลงก็คืนเขาไปแล้วสองส่วนคือ ไฟ กับ ลม เหลือแต่ดินกับน้ำซึ่งเดี๋ยวซักพักก็เผาทิ้งหมดแล้ว ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำหนองน้ำเลือดเสลดน้ำลายมีแต่ของโสโครก พอเผาไปก็กลายเป็นควันลอยขึ้นไปในอากาศ สุดท้ายก็ไปรวมกับก้อนเมฆเป็นฝนตกลงมา เราก็เอาน้ำมาดื่ม แล้ววันหนึ่ง ๆ เผากันกี่ศพ ก็เท่ากับว่าเราดื่มน้ำเลือดน้ำหนองของคนตายนั่นเอง เรื่องราวที่ท่านเทศน์ส่วนใหญ่ก็จะประมาณนี้ เป็นความจริง แต่บางคนรับไม่ได้หาว่าหลวงพ่อท่านเทศน์ไม่น่าฟัง ส่วนใหญ่ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังสำหรับปุถุชน คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยชอบความจริงกัน

ก่อนจบขอถามคำถามง่าย ๆ ลองถามตัวเองดูหน่อยซิว่า พวกเราไปงานศพทำไม?

Friday, March 24, 2006

ชีวิตจริงเศร้ายิ่งกว่าละคร

วันนี้เดินทางมาร่วมงานศพของแฟนน้องคนนึงที่รู้จักกัน ฝ่ายชายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุขณะขับรถออกจากมอเตอร์เวย์ ไม่มีใครแน่ใจว่าทำไมจู่ ๆ รถจึงเกิดเสียหลักพลิกไปหลายตลบสุดท้ายไปชนกับต้นไม้เสียชีวิตคาที่ แต่สภาพศพเหมือนไม่ได้โดนอะไรมาเลย ในร่างกายไม่มีรอยแผลใด ๆ มีเพียงรอยแผลที่หน้านิดเดียวเท่านั้น แม้หน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยชีวิตก็นึกว่าคนขับอาจจะเมาหลับอยู่ เพราะเห็นนั่งอยู่ในรถสภาพปกติเพียงแต่ก้มหน้าอยู่เท่านั้น ทุก ๆ คนทึ่ง งง สงสัย ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ถ้ามองในมุมของกรรมแล้ว คงไม่มีอะไรแปลก มันเป็นเรื่องธรรมดา ถึงเวลาเกิดมันก็เกิด ตามเหตุปัจจัยอันสมควร ตามกรรมที่แต่ละคนพกติดตัวกันมาแต่หนหลังบวกกับกรรมใหม่ที่สมทบเข้ากองทุนแห่งกรรมในชาตินี้

ผู้ตายจบวิศวโยธาจากที่เดียวกับผม แต่ไม่รู้จักกันเนื่องจากเรียนคนละภาควิชาและคนละรุ่นกัน ฝ่ายหญิงเรียนจบแพทย์ ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้น ม. ปลาย เพราะเรียนที่เดียวกัน ฝ่ายชายวางแผนไว้ว่าจะให้พ่อแม่ไปขอฝ่ายหญิงเดือนเมษายน แต่กลับมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แทนที่จะได้จัดงานแต่งงาน แต่กลับกลายมาเป็นงานศพ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเศร้าพอสมควรสำหรับปุถุชน ทั้งญาติพี่น้องเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะพ่อแม่ เพราะกว่าจะเลี้ยงลูกหนึ่งคนให้เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของรัฐได้ คงไม่ต้องบอกว่ายากลำบากขนาดไหน ตั้งแต่เลี้ยงลูกให้โต ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นในชั้น ม. ปลาย สนับสนุนส่งเสริมพร้อมทั้งเคี่ยวเข็น จนสอบมหาวิทยาลัยของรัฐในคณะวิศวกรรมศาสตร์ และกว่าจะเรียนจบ สุดท้ายพึ่งจะได้ทำงานเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว กลับต้องมาเสียชีวิตลง คงไม่ต้องอธิบายว่าพ่อแม่ของผู้ตายจะรู้สึกระทมทุกข์เพียงใด

อีกฝ่ายที่ระทมทุกข์ไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ของผู้ตายนั่นก็คือ ฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นคนรักที่คบกันมานานและวางแผนที่จะแต่งงานกันในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ ผมทราบมาว่าฝ่ายหญิงนั้นร้องไห้หนักพอสมควร แน่นอนเหตุการณ์นี้เป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างหนักกระแทกเข้ากับจิตตรง ๆ สุดท้ายความทุกข์ที่ไม่มีทางออกก็กลายเป็นสายธารแห่งน้ำตา ต่อให้ผู้ที่ภาวนามาแล้วระดับหนึ่งมาเจออารมณ์ระดับนี้ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือไม่ให้เกิดทุกข์ได้ แต่ผมว่าคงดีกว่าคนที่ไม่ได้ภาวนามาเลย อาจจะทุกข์น้อยกว่า อาจจะทุกข์ไม่นาน หรืออาจจะไม่ทุกข์เลย ขึ้นอยู่กับกำลังของสติว่าคนผู้นั้นมีมากน้อยเพียงใด

ขณะเดินทางผมแวะซื้อหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" เพื่อเอาไปฝากฝ่ายหญิง สำหรับฝ่ายชายชื่อหนังสือคงอธิบายไปเรียบร้อยแล้ว หนังสือเรื่องนี้อธิบายกฏแห่งกรรมให้คนธรรมดาฟังในภาษาที่ง่าย ๆ ทำให้เข้าใจกฏแห่งกรรมว่าทุก ๆ อย่างในชีวิตไม่ได้มีอะไรบังเอิญเลย ทุก ๆ อย่างล้วนมีเหตุปัจจัยมาทั้งนั้น สาเหตุที่ผมเลือกหนังสือเล่มนี้ เพราะชื่อของหนังสือค่อนข้างโดนใจ โดยเฉพาะกับคนที่พึ่งประสพเหตุการณ์แบบนี้หมาด ๆ บางคนอาจจะสงสัย ผมจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ คนเขากำลังทุกข์เพราะคนรักจากไปแม้แต่ศพก็ยังไม่ได้เผา ยังเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้อีก จะไม่ทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรอกหรือ ผมขออธิบายดังนีจู่ ๆ ถ้าผมจะถือหนังสือธรรมะไปให้คน ๆ นึง ถ้าชีวิตเขายังปกติอยู่ไม่ได้เดือดร้อนมีความทุกข์อะไร (ทั้ง ๆ ที่รูปกับนามมันทุกข์อยู่ทั้งวันแต่เราไม่เคยเห็น) เกือบร้อยทั้งร้อยไม่มีใครอ่าน อย่างมากก็เก็บหนังสือไว้ในชั้นเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ถ้ามีเหตุสะเทือนใจแรง ๆ แบบนี้โอกาสที่จะอ่านนั้นสูงมาก และถ้าน้องเขาเกิดหันหน้าเข้ามาหาธรรมะผมก็จะได้สอนต่อยอดให้ฝึกเจริญสติ ตามแนวทางแห่งมหาสติปัฏฐานสูตรของพระพุทธเจ้า ชีวิตจะเปลี่ยนไปจนนึกไม่ถึง ไม่แน่อาจจะเข้ากระแสแห่งนิพพานตามที่บรมครูท่านสอนไว้ก็เป็นได้ ถ้าเกิดผลสุดท้ายเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เท่ากับว่าการเสียชีวิตของแฟนหนุ่มไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว อาจจะต้องขอบคุณที่การเปลี่ยนภพของเขาทำให้แฟนสาว ได้แผนที่ได้เข็มทิศในการเดินทางเพื่อมุ่งสู่เส้นทางแห่งความดับทุกข์ หรืออย่างน้อยชีวิตที่เหลืออยู่ก็ดำเนินได้ด้วยความเข้าใจทุกข์ และทุกข์ก็จะถูกบรรเทาไปโดยปริยาย

ถ้าหนังสือเล่มนี้ไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่เป็นไรเพราะชีวิตที่ผ่านมา ผมสอนธรรมะคนมาจำนวนหนึ่ง หลายคนใส่ใจมุ่งมั่น หลายคนฟังแล้วเข้าใจแต่ไม่ยอมทำ หลายคนไม่เข้าใจแต่อยากทำ แต่หลาย ๆ คนทั้งไม่เข้าใจด้วยและไม่อยากฟังด้วย คนที่ไม่รู้ไม่สนธรรมะมีอยู่เป็นจำนวนมาก ผมมีหน้าที่เพียงโยนหินถามทาง ถามเข้าไปในใจของคนรอบข้างว่ามีใครสนใจธรรมะบ้าง ถ้าสนใจผมมีความรู้พอที่จะแบ่งปัน แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรต่างฝ่ายต่างดำเนินชิวิตไปตามปกติ เจอกันก็คุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไป ช่วงแรก ๆ ผมพยายามสอนคนด้วยตัณหาหรือราคะ คือความอยากสอน พออยากสอนแล้วไม่ได้สอน หรือสอนเขาไม่ได้ ก็เกิดความหงุดหงิด เบื่อ อารมณ์เสีย สุดท้ายก็ทุกข์ กว่าจะรู้สึกตัวและกลับตัวได้ ว่าเอ...เรานี่เดินออกนอกเส้นทางของบรมครูไปไกลเสียแล้วก็ใช้เวลาอยู่เป็นแรมปี พระพุทธศาสนาสอนให้เราเดินไปในเส้นทางแห่งความดับทุกข์ แต่เราเองพอสอนคนไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อยก็ทุกข์เสียแล้ว ช่วงหลังกลับตัวใหม่ สอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็ไม่สอน มันไม่ใช่สาระที่เราจะไปทุกข์ ช่วงหลัง ๆ สอนแบบนี้ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าเราไม่ได้ใส่ใจคนที่เราสอน แต่ปรากฏว่า แบบนี้กลับดียิ่งกว่าแบบเดิม เพราะเราไม่ทุกข์เนื่องจากธรรมะ คนที่เราจะสอนก็ไม่ทุกข์เนื่องจากธรรมะเช่นกัน เวลาสอนก็ได้ประสิทธิภาพประสิทธิผลมากกว่า เพราะไม่มีความอยากเข้าไปเจือปน ที่เขียนเรื่องนี้มายืดยาวเผื่อเป็นคติเตือนใจ เป็นแนวทางสำหรับคนที่อยากให้ธรรมะกับคนอื่น แต่พอเขาไม่สนใจฝ่ายเรากลับเป็นทุกข์เสียเอง ชีวิตของเรานั้นมีทุกข์มากเพียงพออยู่แล้ว อย่าให้ความโง่เขลาของเรานำเอาธรรมะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์มาเป็นสาเหตุแห่งทุกข์เผาใจตัวเองอีกต่อไปเลย

ลืมเล่าไปว่า ขณะที่น้องเขารับหนังสือ น้ำตาก็พร่างพรูออกมาอีกระรอก จิตใจก็นึกถึงแต่คนที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโลง ต้องใช้เวลานานพอควรจึงสงบสติอารมณ์กลับมาสู่สภาวะปกติได้ ถือซะว่าเป็นการฉีดยาก็แล้วกัน อาจจะเจ็บบ้างนิดหน่อย แต่ก็คุ้มมิใช่หรือที่อาจจะทำให้หายขาดจากโรคทุกข์ที่ใจเราติดเชื้อมาแสนเนิ่นนาน