Tuesday, December 06, 2005

เป็นโรค ไม่สนใจยา ไม่มารักษา ไม่มีวันหาย

สำหรับมนุษย์ผู้ที่หลงเพลิดเพลินอยู่ในวัฏสงสารแดนทุกข์ แต่ไม่เคยเห็นภัยของวัฏสงสาร มัวเพลิดมัวเพลินอยู่ในกิเลสตัณหา คงหมดหนทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้

เนื้อหาทั้งหมดมาจากประวัติหลวงปู่มั่น ถ้าเป็นเพลงก็ชื่อตอนว่า "พระพุทธเจ้าอนุโมทนา" เนื้อหาของเพลงที่สำคัญมีดังนี้

ในพระโอวาทที่ประทานให้มา โดยส่วนใหญ่มีใจความว่า ทราบว่าเธอพ้นทุกข์
อนันตทุกข์ เหมือนลูกโซ่ที่ถูกทำลาย
จนพบทางสว่างไสว สิ้นเยื่อขาดใยภพชาติแห่งตน
จากเรือนจำแห่งวัฏวนสิ้นสุดหลุดพ้นห่างไกล
อันสัตว์ในโลกทั้งหลาย ล้วนพากันติดใจไม่คิดว่ายแหวกออกมา
มัวเพลิดมัวเพลินอยู่ในกิเลสตัณหา เหมือนเป็นโรคไม่สนใจยา ไม่มารักษาไม่มีวันคลาย
เหมือนเป็นโรคไม่สนใจยา ไม่มารักษาไม่มีวันหาย

ธรรมของเราตถาคตเป็นเช่นยา ถึงจะดีและมีคุณค่า แต่คนทั้งหล้า กลับพากันเมินไฉน
แม้ยาจะดีเท่าไหร่ ไม่มีช่วยได้หรอกหนา คงเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยใหญ่นา ๆ
ไร้จุดหมายปลายทางเลยว่ามาสิ้นสุดตรงไหน ไม่ว่าตถาคตนี้จะมีเพิ่มอีกเท่าใด
กิเลสตัณหาภายในใจ คงไม่เหือดหายเที่ยงแท้แน่นอน
ถ้าไม่รับธรรมช่วยถอดถอน แน่นอนสิ้นทางบรรเทา
มีแต่นับวันอับเฉา เหมือนดังไฟเร้ารุมสุมอยู่ตลอดเวลา
ตายเกิดมีทุกข์ติดมา ก่อเป็นแผ่นมั่นคงแน่นหนา ทั้งก่อกวนยั่วยวนทุกท่า
เชื้อไฟกิเลสตัณหา พาหลงพะวงเรื่อยมา อุราหลงปลื้มลืมตน
แม้นรับธรรมใส่กมล บำเพ็ญต้องพ้นทุกข์สักวัน
แม้รับธรรมรับธรรมใส่กมลต้องหมดสิ้นทุกข์สักวัน
อันนักปราชญ์ฉลาดอาจหาญ ไม่นิ่งนอนเนิ่นนานดักดานหลงผิดติดจอดจม
.....

สัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมาว่า
เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด
สัตว์โลกอาภัพ เพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจเบียนเบียดเสียดแทง
ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อใด
....

Thursday, December 01, 2005

เทวทูต ๔

สิ่งที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชคือ เทวทูต ทั้ง ๔ ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ สมณะ ตั้งแต่ท่านประสูติ จนกระทั่งอายุ ๒๙ ปี ท่านไม่เคยได้เห็นสิ่งเหล่านี้เลย ด้วยพระบิดาเกรงว่าท่านจะสละราชบัลลังค์ออกบวชตามคำทำนายของท่าน โกณฑัญญะ ที่ทำนายไว้ในวันตั้งพระนามของพระกุมารว่า พระกุมารของพระองค์จะออกบวช เมื่อเจอ เทวทูตทั้ง ๔ อย่างแน่นอน ท่านก็เลยจัดให้เจ้าชายอยู่ในปราสาท ๓ ฤดู ได้รับแต่ความสะดวกสบาย มีนางสนม และคนรับใช้ล้วนเป็นวัยหนุ่มสาว ไม่มี คนแก่ คนป่วย คนตาย ให้ท่านเห็นเลย ชีวิตท่านก็เลยอยู่แต่กับความสุขสบายตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านเข้าไปในเมืองและได้เห็นเทวทูตทั้ง ๔ ด้วยบารมีที่บำเพ็ญมานับแสนล้านชาติจนเต็มเปี่ยม พร้อมจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ทำให้ท่านเห็นทุกข์ ของ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างสุดจิตสุดใจ ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับพยายามดิ้นรนหาทางออกจากทุกข์เหล่านี้ ไม่เหมือนคนบารมีอ่อน ๆ อย่างเราท่าน ที่เห็นแล้วเห็นอีก ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้มีความสะทกสะท้าน เห็นภัยของวัฏฏะเลยแม้แต่น้อย

ถ้าจะให้เปรียบเทียบคงเสมือนไฟกำลังไหม้บ้าน พอท่านรู้ว่าเป็นไฟ เจ้าชายสิทธัตถะท่านร้อนรนพระทัย ดิ้นรนขวานขวายหาทางออก ให้หลุดพ้นจากกองเพลิงซึ่งจะไหม้มาถึงตัวเองสักวัน ส่วนพวกเรานั้นยังนั่งสบายอารมณ์ กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เหมือนไม่มีอะไรจะเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไฟกำลังลุกลามเข้ามา และจะมาถึงตัวเราในวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำยังมีเสียงจากพระพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลาย ที่ท่านอุตส่าห์บอกเตือนมาด้วยความเมตตาสงสาร แต่พวกเราก็ดูเหมือนจะไม่สนใจและใส่ใจอะไรเลย

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ต้องไปช่วยงานศพปู่ ตอนที่ไปรับศพของปู่ออกมาจากห้องดับจิต ยืนมองศพท่านแล้วมันสะเทือนใจ และเศร้าใจมาก สาเหตุที่เศร้าไม่ใช่เพราะเสียปู่ไป แต่เศร้ากับตัวเอง ว่าสักวันเราก็จะลงไปนอนอยู่อย่างนั้น แล้วเราจะไปไหน มันเป็นอะไรมี่มืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย พอ ๆ กันกับมองไปข้างหลัง เพื่อจะดูว่าก่อนเราจะเกิดเรามาจากไหน ก็เห็นแต่ความมืดพอ ๆ กัน เป็นลักษณะ มืดมา มืดไป และก็คงเป็นมานับแสนล้านครั้ง จนนับไม่ถ้วนแล้ว เรายังจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไปหรือ

หลังจากนั้นก็เดินทางไปแจ้งข่าวให้ญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับปู่ให้ทราบ เห็นแต่ละท่านแล้ว ยิ่งตอกย้ำความสลดสังเวชในชีวิตเข้าไปอีก สภาพร่างกายก็แย่ ป่วยออด ๆ แอด ๆ แค่จะเดินเหินยังลำบาก ส่วนลูกหลานก็ยุ่งอยู่กับงานของเขา ต้องอยู่ไปตามประสาคนแก่ เหมือนนั่งรอวันตาย เพื่อที่จะเดินไปหาความมืดซึ่งเดาไม่ออกเลยว่า สภาพข้างหลังม่านแห่งความตายที่รออยู่นั้นเป็นอย่างไร เราจะต้องแก่แล้วก็จะเป็นแบบนี้หรือ

ความทุกข์ที่เห็นวันนี้ บวกกับความทุกข์ที่เราเห็นจากการเจริญสติอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะขยับซ้าย ขยับขวา เดี๋ยวหิว เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวปวดหัว เดี่ยวปวดอุจจาระ เดี๋ยวปวดปัสสาวะ เดี๋ยวกลุ้มใจ เดี๋ยวกังวลเรื่องอนาคต ฯลฯ สรุปออกมาได้ประโยคเดียว คือ "ชีวิตนี้มันทุกข์ชัด ๆ" ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยทุกข์ ส่วนทางข้างหน้าที่รออยู่ก็ล้วนแล้วแต่ทุกข์ ทุกข์นี้เป็นความจริง ซึ่งเป็นหนึ่งในอริยสัจ ๔ หรือจะเรียกว่า ความจริงของพระอริยะก็ได้เช่นกัน

จิตใจย้อนมาคิดถึงเทวทูตทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าท่านเห็น ไม่บังอาจจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับท่านว่าเราเห็นและรู้สึกเหมือนท่าน เอาแค่ความรู้สึกส่วนตัวนั้น เราเห็นอย่างประจักษ์ชัดแล้วว่าชีวิตนี้มันทุกข์จริง ๆ คงถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจหนัก ๆ ในชีวิตอีกครั้งแล้ว ว่าจะเดินเส้นทางสายสมณะเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง หรือจะปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ตามยถากรรมปล่อยให้ชีวิตลอยตามกระแสสังคมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็จะไปตายทิ้งในวันหนึ่งข้างหน้าเหมือนที่คนอื่นเขาเป็นกัน

ตอนเย็นกลับบ้านไปนั่งคุยกับแม่หลายเรื่อง และก็ถามแม่อย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่า การมีลูกมีครอบครัวนั้นดีหรือเปล่า แม่ตอบทันทีและหนักแน่น อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ไม่ดี มันลำบาก"

แม่ของเรานั้นเลี้ยงลูกด้วยความรักและเอาใจใส่ด้วยดีเสมอมา ตอนเด็ก ๆ แม่จะหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเหงือก และฟันน้ำนม หลังจากดื่มนมเสร็จ เพราะกลัวว่าปากและฟันของลูกจะไม่สะอาด เวลาจะอาบน้ำต้องไปปิดหน้าต่างของบ้านให้หมด กลัวว่าลูกจะโดนลม แล้วไม่สบาย ไม่ได้ทำอะไรมักง่ายเหมือนคนอื่น ๆ เขา ลูกทั้งสามคนก็เติบโตมา สุขภาพแข็งแรง นิสัยอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่เหลวไหลเสเพล เรียนจบมหาวิทยาลัยของรัฐ ในคณะที่มีหน้ามีตาของสังคม ทุก ๆ คน ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม่จะบอกว่าการมีลูกนั้น "ไม่ดี" แล้วยิ่งมองออกไปข้างนอก เห็นชาวบ้านเขาเดือดร้อนเพราะลูกเกเร หาที่เรียนไม่ได้ เรียนไม่จบ ติดยา เมาเหล้าประสบอุบัติเหตุ พิกลพิการ ฯลฯ เขาจะลำบากและทุกข์แค่ไหน

เช้าวันรุ่งขึ้นไปนั่งคุยกับย่า ก็ถามคำถามเดียวกันอีก คุณย่าตอบแบบสรุปให้ฟังรวบยอดไปเลยว่า ไม่ต้องแต่งงานมีลูกมีเมียหรือมีสามีหรอกมันลำบาก ถ้าเป็นไปได้ไปบวชเลย จะดีที่สุด ถ้าจะมารอบวชตอนแก่มันลำบาก นั่งก็ปวด ลุกก็ปวด จะภาวนาอย่างเข้มข้นก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายมันไม่อำนวย ไม่เหมือนวัยหนุ่มสาวที่มีกำลังพอจะทำได้ แล้วย่ายังทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่งที่สำคัญคือ ต้องหาอาจารย์ดี ๆ ด้วย เพราะท่านจะได้แนะนำได้ถูก ไม่หลงทาง ไม่งั้นเดี๋ยวลำบากเปล่า ๆ

คนที่มีประสบการณ์ผ่านโลกมา ๕๓ ปี กับ ๗๓ ปี ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันอย่างหนักแน่นขนาดนี้ เราควรจะใส่ใจให้มาก ว่าเรายังจะปล่อยให้ตัวเองกลิ้งไปตามทางที่ท่านผ่านมาแล้ว และยืนยันว่ามันไม่ดีอยู่อีกหรือ และองค์ประกอบความพร้อมหลายอย่างก็ดูสมควรตามเหตุผล จิตที่เดินทางมาก็คิดว่าถูกทางแล้ว ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ก็เห็นสมควร อาจารย์ที่ดีก็มีแล้ว อะไร ๆ ในโลกที่เคยคิดเคยหวังว่าอยากจะได้ จิตก็แทบจะไม่ดิ้นรนอะไรแล้ว เหลือเพียงปัญหาและภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นที่ต้องจัดการให้เสร็จ คงใช้เวลาไม่นานนัก

เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้ต้องรีบทำเมื่อมีโอกาสก็คือ คนในสังคมนี้มีหลายคนที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้กันได้ทุกคน เวลาเราเดินไปเห็นคนที่เขาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะทำแล้วมันก็สะกิดใจเราทุก ๆ ครั้งไป เช่นเวลาเดินไปเห็นคนพิการแขนขาด ขาขาด ก็จะคิดว่าโชคดีที่เราไม่เป็นแบบนั้น โชคดีที่เราไม่ได้เป็นเอดส์ โชคดีที่เราไม่ได้ปากเบี้ยวปากแหว่ง โชคดีที่เราไม่ได้ปัญญาอ่อน โชคดีที่เราไม่ได้ติดคุก โชคดีที่เราไม่ได้เป็นอัมพาต โชคดีที่เราไม่ได้เป็นกะเทยเกิดมาผิดเพศ โชคดีที่เราไม่ตาบอด โชคดีที่เราไม่หูหนวก โชคดีที่เราไม่ได้เกิดเป็นเดรัจฉาน ฯลฯ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าเราเป็นแม้แต่อย่างเดียวก็หมดสิทธิ์ที่จะเดินเส้นทางสายสมณะ ถ้าวันหนึ่งเราเกิดพลาดมีอะไรเกิดขึ้นกับเราก็เป็นอันหมดสิทธิ์ ถ้าวันนั้นมาถึงเราจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตัดสินใจเลือกว่าจะไปหรือไม่ไป

คำถามสำหรับตัวเองวันนี้ไม่ได้ถามว่า จะไปหรือไม่ไปดี แต่เป็นคำถามที่ว่า จะไปให้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ดี