Tuesday, April 26, 2005

วันที่ ๒๒๖ อยากบวช

หลังจากกลับมาจากอาจารย์ ดูเหมือนว่าจิตมันวนเวียนอยู่กับคำว่า “จะบวชเหรอ” ของท่านอาจารย์ วนไปวนมาแต่ไม่หนักมาก แต่คำพูดของท่านอาจารย์มากระตุ้นความอยากบวชที่ฝังอยู่ในใจให้ แต่ก็ยังไม่เท่าไร

เมื่อวานพาแฟนไปโอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม แล้วแฟนเขาก็ถามเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ว่ามันหายไปไหน เขาสงสัยว่าเราใช้เกินไปหรือเปล่า เราเองไม่ได้ใช้จ่ายมั่ว ๆ และก็ไม่ได้ซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ และก็ไม่ได้ซ่อนได้โกงอะไรเลย มันก็เลยเป็นสาเหตุให้อารมณ์เสียขึ้นมาทันที ก็รู้สึกตัวอยู่นะว่าอารมณ์มันเปลี่ยน แต่มันไม่หาย แต่การอารมณ์เสียหรือโกรธนี้ไม่สำคัญเพราะเดี๋ยวมันก็หาย แต่สิ่งสำคัญก็คือ เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนการกระตุ้นความอยากบวชเป็นครั้งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากประโยคที่แฟนเขาพูดจบได้ครู่เดียวก็เกิดคลื่นความคิด (จิตมันโดนลากไปอยู่ในโลกของความคิด ด้วยอำนาจของความอยาก) ว่าเออชีวิตคู่มันก็เป็นแบบนี้นะ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้หรอก มีแต่ทุกข์ไปวัน ๆ นั่นแหละ แล้วความคิดเรื่องการบวช ลูกแล้วลูกเล่าก็เกิดขึ้น จะบวชอย่างไร เมื่อไหร่ เร็ว ๆ นี้จะทำได้ยังไง มาเป็นขบวนเลยคราวนี้ เหตุผลสารพัดระเพความคิดมันไปซอกแซกหามาให้ ว่าทำไมต้องบวช บวชแล้วจะดีอะไร อายุก็พอสมควรกำลังดี ชีวิตอยู่ไปจะดีอะไรเดี๋ยวไม่กี่ปีก็แก่ ก็ตายแล้ว มัวแต่ทำเรื่องไร้สาระอยู่นี่แหละ ดูท่านอาจารย์สิ กว่าจะเรียนจบกว่าจะทำงาน สุดท้ายท่านก็ออกบวช อีกแค่ไม่กีปีเราก็จะอายุเท่าท่านเหมือนกัน อีกอย่างพระดี ๆ ที่เป็นพระของพระพุทธเจ้า เป็นพระเหมือนครั้งสมัยพุทธกาลจริง ๆ นั้นหายากเหลือเกิน สิ่งที่เราทำอยู่เป็นวิศวกร เป็นโปรแกรมเมอร์ ที่ดี ของสังคมนั้น พอจะหาได้อยู่มาก ไม่มีเราก็ไม่เสียหายอะไรมาก แต่พระแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้า ผู้ที่บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง และก็ทำตามสิ่งที่พระศาสดาสอนอย่างเคร่งครัดและถูกต้องนั้นหายากเหลือเกิน แต่ถ้าเราบวชเราจะเป็นพระแท้ของพระพุทธเจ้าให้ได้ เพื่อตัวเรา เพื่อสังคม และเพื่อพระพุทธศาสนา

ในระหว่างที่จิตหาเหตุผลของการบวชมา ก็จะนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างบวช คือช่วงที่มันจะทนไม่ได้ ช่วงที่อยากสึกก็จะมีแน่นอน จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เราจะผ่านมันไปได้อย่างไร จิตของเรามีภูมิต้านทานเพียงพอแก่อาการอยากสึก ระหว่างที่บวชหรือยัง ถ้าจะบวชจริง คงต้องปรึกษาอาจารย์หนัก ๆ สักครั้งหนึ่ง

สองหน้าของสัจจธรรม พอดีไปอ่านเจอคำสอนของหลวงปู่ชา ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู่สองทาง คือคล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลก พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลก ด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้ เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลกคิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัว อยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้องเป็นกิเลสกองใหญ่

คนอยู่ครองโลก ครองบ้าน ครองเมือง ทำทุกอย่างก็อยากให้มันสำเร็จ แต่ไม่มีทางสำเร็จหรอก เรื่องของโลกมันจบไม่เป็น ถ้าทำตามโลกแล้วจบได้ พระพุทธเจ้าท่านก็คงทรงทำแล้ว เพราะท่านครองโลกอยู่ก่อน แต่นี่มันทำไม่ได้

ว่าจะทำให้หมดนั้น มันหมดไม่เป็นหรอก เหมือนกันกับพ่อค้า พบใครก็ว่าถ้าหมดหนี้หมดสินแล้วจะบวช เมื่อไรมันจะหมดเป็น เพราะพอหมดหนี้เก่า ก็กู้มาใหม่อีก พ่อค้าก็ไม่มีวันหมดหนี้หมดสิน เมื่อกู้ไม่หยุด แล้วจะหมดได้อย่างไร นี่แหละปัญญาโลกีย์ มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพาน จึงจะทนอยู่ได้

Sunday, April 24, 2005

วันที่ ๒๒๔ กราบอาจารย์ปราโมทย์ครั้งที่ ๓

พาน้าอ้อด วิยดา อาษากิจ ไปกราบอาจารย์ปราโมทย์ ตัวเราเองไปเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว วันนี้รู้สึกตื่นเต้นกลัว ๆ เวลานั่งอยู่หน้าท่าน โดนท่านทักว่าเรากลัวท่านด้วย ตอนท้ายไปกราบท่าน ให้ท่านแนะนำวัดที่เข้าท่า แถว ๆ โคราช ท่านถามว่า จะบวชเหรอ (คำนี้เหมือนอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาในใจ) ก็เลยบอกท่านว่า เพื่อน ๆ เขาฝากมาถาม ท่านก็เลยแนะนำวัดถ้ำซับมืด ของหลวงปู่ทา อยู่ที่ปากช่อง

Thursday, April 21, 2005

วันที่ ๒๒๑ กลับมาอีกครั้ง

หยุดบันทึกไปนานหลังจากลาสิกขามา ก็ไม่ได้บันทึกเพิ่มเติมอีก แต่การภาวนาไม่ได้หยุดนะ ไปหาอาจารย์ปราโมทย์มาแล้วสองครั้ง ยังเจริญสติมาเรื่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่รู้สึกว่าจิตมันจะขี้เกียจเกินไป มันขี้เกียจทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ ขี้เกียจสุข ก็ไม่สุข แล้วมันไม่ค่อยเอาสาระกับอะไรเท่าไร เหมือนกับคนไม่เอาจริง เอาจังกับชีวิตเสียแล้ว แต่ก็ดีนะเบา ๆ ดี แต่มีข้อเสียคือเหลวไหลไปหน่อย ทำให้อะไร ๆ หย่อนไปพอสมควร เช่นไม่ตื่นแต่เช้าเหมือนแต่ก่อน แต่มันไม่ทุกข์นะ (ทุกข์น้อยกว่าแต่ก่อนมาก เพราะส่วนใหญ่ความคิดมันจะดับเมื่อมีสติ พอความคิดดับ ความทุกข์ก็หายหัวตามกันไป) แต่ว่าจะลองแนวทางใหม่ ว่าจะทำอะไรฝากไว้ให้ชาวโลก ให้สังคม เท่าที่จะทำได้ การปล่อยไปแบบนี้ กับตัวเองก็ดีไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าขยันทำอย่างอื่นเพิ่มบ้างอาจจะทำให้มีกำลัง เผยแพร่ คุณงามความดี และ เผยแพร่พระพุทธศาสนาได้มากกว่านี้ก็เป็นได้ ต้องลองดู