Monday, December 10, 2007

แตะนิ้ววิปัสสนา

จริง ๆ ได้ยินพระอาจารย์ปราโมทย์ท่านบอกเรื่องกรรมฐานขยับ เช่นขยับนิ้ว ขยับมือ กระดิกขา ฯลฯ มานานแต่ไม่เคยได้ลองซักที ช่วงนี้มาลองเอานิ้วแตะ ๆ กันดู โดยเอานิ้วโป้งแตะกับปลายนิ้วทั้งสี่แบบเรียงกันไป กลับไปกลับมา เหมือน ๆ พวกหมอดูที่เค้าทำ

ทำแล้วดีจริง ๆ จิตมันตื่นขึ้นมาได้เร็ว เผลอไปป๊อบ ๆ แป๊บ ๆ ก็กลับมารู้สึกตัว เพราะเราต้องขยับนิ้วอยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้คงภาวนาแบบนี้ไปซักพักก่อน ทั้งตอนยืน เดิน นั่ง แล้วค่อยมาดูผลอีกที

Monday, November 26, 2007

อดข้าวเล่น ๆ ดีกว่า

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองอดข้าวเล่น ๆ ดูดีกว่า เอาซัก ๔ - ๗ วันก็แล้วกัน ก่อนจะเดินทางไปสวนสันติธรรมในวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ที่จะถึงนี้

จิตใจของเราปกติแล้วมันดื้อ โดนตามใจมาตั้งแต่เกิด เพราะใคร ๆ ก็ทำตามใจตัวเองทั้งนั้น ใจมันอยากทำอะไรก็ทำตามมันไม่เคยคิดแม้แต่จะขัดมันด้วยซ้ำ มันก็เลยเกิดปัญหาว่าไม่มีใครบังคับใจตัวเองได้สักเท่าไหร่ และไม่ต้องไปพูดถึงการเอาชนะใจของตัวเอง ซึ่งเป็นสาระสำคัญของนักภาวนาเลย

การจะจัดการจิตใจของตัวเองถ้าเราเล่นงานมันตรง ๆ ไม่ได้เราก็เล่นงานมันอ้อม ๆ เช่นอดนอนบ้าง อดข้าวบ้าง เพราะจะว่าไปแล้วร่างกายก็เหมือนกับทาส เหมือนกับกำลังของจิตใจ ถ้าร่างกายสมบูรณ์จิตมันก็มีกำลังมาก กำหราบกันลำบาก ถ้ามันโดนตัดทอนกำลัง ไอ้ที่มันวิ่งวุ่นแส่หาเรื่องหาทุกข์มาใส่ตัวเองมันก็จะลดลง

พอกำลังมันลดมันก็กำหราบกันได้ง่ายหน่อย จะสั่งจะสอนกันให้มีสติระลึกรู้ พิจารณารูปนามมันก็พอสั่งพอสอน พอที่จะน้อมนำมันได้ แต่ถ้ากำลังมันเยอะ ๆ อยู่นี่อย่าไปหวัง มีแต่จะวิ่งพล่านอยู่นั่นแหละ จะว่าไปแล้วก็เหมือนฝึกม้าฝึกช้าง ถ้ามันพยศมากก็ไม่ให้มันกินข้าว พอไม่ให้มันกินมันหิวมาก ๆ อ่อนกำลังลง มันก็จะเริ่มเชื่อฟังและทำตามคำสั่ง ถึงจะพอใช้ประโยชน์จากการฝึกฝนได้

ใครจะว่าเป็นการทรมานตนเองก็แล้วแต่จะมอง แต่เราทำอย่างมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

Thursday, November 22, 2007

คนต่อยกิเลส

ผมนั่งอยู่หลังแคปรถกระบะอีซูสุเพื่อเดินทางขึ้นไปวัดป่าภูผาสูงกับทีมพี่ ๆ ที่ภาวนาด้วยกัน พวกเรานั่งคุยกันไปตามทางเรื่อย ๆ ตามประสาธรรมะไร้เดียงสา บรรยากาศสองข้างทางดูสวยดีเนื่องจากพึ่งผ่านหน้าฝนมาหมาด ๆ ต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้ก็กำลังสวยตามประสายอดเขายามหนาว วัวควายก็อ้วนเต็มที่หลังจากกินมาเต็มอิ่มตลอดหน้าฝน

ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นเป็นระยะ แบบอัตโนมัติไม่ต้องบังคับ แบบเบา ๆ สบาย ๆ พอ ๆ กับบรรยากาศสองข้างทาง บางขณะใจก็ถอยออกมาเห็นภาพในสายตาเป็นเหมือนจอโทรทัศน์ มีเพื่อน ๆ สหธรรมิกนั่งอยู่รอบ ๆ ตัวสามคน ภาพนี้ไม่มีความเป็นเราอยู่ เป็นภาพที่น่าดูและน่าบันทึกไว้ในความทรงจำ

หลังจากขึ้นมาถึงวัดต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตน ชำระร่างกายอาบน้ำ แล้วก็ขึ้นไปทำวัตรเย็น สวดมนต์และนั่งสมาธิตามปกติ ส่วนตัวผมเองการนั่งหลับตาทำสมาธินี่มันเข้ากันไม่ได้จริง ๆ นั่งทีไรง่วงนอนทุกที ก็เลยต้องลงมาเดินจงกรมใต้ศาลา ซึ่งเป็นงานที่ถนัดที่สุด เดินได้ไม่มีเบื่อ เดินไปเถอะ เดินจนเจ็บส้นเท้าก็ยังไม่รู้สึกว่าเบื่อ เพราะฉะนั้นต้องเดินต่อไป

ช่วงนี้จิตใจมีกำลังขึ้นมาพอสมควรจากการอดข้าวรักษาศีล ความรู้สึกเหมือนกับนักรบสมัยโบราณที่จะออกสงครามได้ชุดเกราะมาใหม่ ตอนที่รักษาแค่ศีลห้าเหมือนใส่เสื้อหนังบาง ๆ พอป้องกันดาบ ธนูแบบเบาะ ๆ ได้บ้าง แต่ถ้าโดนเข้าจัง ๆ ของแค่นี้มันไม่พอ แต่พอมารักษาศีลแปดเหมือนได้เกราะเป็นเหล็กกล้าน้ำหนักเบาเต็มตัว มีหมวกไว้กันศาตราวุธด้วย ได้ชุดเกราะดีบวกกับ โล่ห์ (สมถะ) ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ดาบ (สติปัญญา) นี่เริ่มใช้การได้บ้างแล้ว

อาวุธครบมือที่เหลือก็คือออกไปลุย ศัตรูมีพวกเดียวคือ กิเลสในใจของตัวเองเท่านั้น หัวหน้ามันคือ อวิชชา ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของมันทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในใจนี้เอง แต่ไม่เป็นไรอันดับแรกขอจัดการลูำกสมุนกระจ๊อกของมันก่อนเอาฤกษ์เอาชัยเพื่อสร้างเสริมขวัญและกำลังใจ สักวันเดี๋ยวได้เจอกันอวิชชาเอ๋ย รอไม่นานหรอกเดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมให้ถึงห้องนอนเลย

หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จก็ได้เดินขึ้นไปพบท่านพระมหาธีรนาถ ที่กุฏิริมหน้าผา ซึ่งอากาศเย็นมาก พวกเรานั่งสนทนากับท่านประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนที่จะกลับไปนอนที่ศาลาใหญ่ ในระหว่างสนทนาได้ข้อคิดและธรรมะมาเยอะมาก "อาจารย์ธีรนาถนี่ก็ใช่หยอกเหมือนกันแฮะ" ผมนึกในใจ

บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานแต่่แฝงด้วยเนื้อธรรมอย่างตรงไปตรงมา มีคำที่ผมประทับใจหลายคำแต่ขอยกตัวอย่างแค่สองคำก็พอ คำแรกเป็นคำสอนของท่านพ่อลี ท่านสอนไว้ว่า "กิเลสละไม่ยากหรอก แต่ไอ้ที่ยากก็คือหามันไม่เจอ" เออ ผมฟังดูก็จริงแฮะ จริง ๆ แล้วมันจริงสุด ๆ เลยด้วย เพราะถ้ากิเลสที่เราเห็นหน้าเห็นตามัน ยังไง ๆ ซะสติปัญญาเราก็คงพอหาทางจัดการมันได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ส่วนไอ้ตัวที่เราไม่เห็นนี่สิ ให้ตายก็จัดการไม่ได้ เพราะลำพังแค่เห็นยังไม่เห็นเลยจะไปจัดการมันตรงไหน

ยกตัวอย่างถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนขี้โมโห นี่แสดงว่าเราเห็นกิเลสของเราเอง โมโหขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทุกที แต่จะอึดอัดหน่อยว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้ แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาหาทางจัดการกับมันไม่นานก็จัดการกันได้ แต่ไอ้ที่เราไม่เห็นอย่างการติดความสุขในสมาธิ อะไรแบบนี้นี่สิ ตัวปัญหา คือมันดันไม่เห็น หรือมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส พอมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส ก็ไม่คิดจะจัดการ พอไม่คิดที่จะจัดการ มันก็ยังนั่งครองบัลลังก์อยู่ในหัวใจของเราไปอีกนานเท่านานเหมือนที่มันทำมาแล้วตลอดกาล

ส่วนคำที่สองนี่โดนใจสุด ๆ ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นสอนว่า ภิกษุ แปลว่า "คนต่อยกิเลส" คือฟังแล้วได้ใจมาก ให้มันได้อย่างนี้หน่อยสิคนเรา มีแต่โดนกิเลสเฆี่ยนตีอยู่ทั้งวี่ทั้งกันวันทั้่งโลก ไม่มีใครหันมาอัดกับมันสักตั้ง จะมีก็แต่บรมครูอย่างพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะสาวกเท่านั้นเองที่ทำไว้เป็นแบบอย่าง ขอผู้กล้าหน่อยเถอะโลกใบนี้ ประกาศศักดาความเป็นมนุษย์ ว่าเราก็เจ๋งเหมือนกัน ไม่ใช่จะมากดขี่ข่มเหงกันแบบไม่ปราณีปราศรัยแบบนี้ ถึงเวลาประกาศอิสระภาพให้ตัวเอง ประกาศให้โลกธาตุนี้รู้ว่าเราก็หนึ่งเหมือนกัน

ใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้กล้า ใครที่ไม่อยากเป็นผู้แพ้ไปตลอดชีวิต ใครที่ไม่อยากเป็นทาสกิเลสไปจนวันตาย ขอเชิญมาร่วมกับกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหน้าที่หลักอย่างเดียวคือ จัดการกิเลสในใจตัวเอง ต่อยกิเลสให้มันรู้ฝีมือและกำลังของเราซะบ้าง ถ้าฆ่าได้จัดการมันอย่าให้เหลือซาก ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

กองทัพของธรรมเป็นกองทัพอันทรงเกียรติ กองทัพนี้ไม่ต้องการเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ต้องการแค่ลูกผู้ชายตัวจริง เลือดนักสู้ มีความมุ่งมั่น อุตสาหะ ไม่ย่อท้อ มีความอดทนเป็นเลิศ ถ้ากิเลสไม่ตายเราก็ตาย ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ในเมื่อกิเลสมันไม่ธรรมดาครองหัวใจคนได้ทั้งโลก คนที่จะเป็นนักรบของกองทัพธรรมจะเอาพวกเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันเลิกไม่ได้ ถ้าจะทำแบบนั้นกลับบ้านไปกินนมนอนให้กิเลสมันเลี้ยงไว้เฆี่ยนเล่น ๆ ให้มันสนุกไปวัน ๆ ยังจะดีกว่าซะอีก

กองทัพนี้ไม่ได้ต้องการทหารเยอะ ๆ แบบเอาปริมาณ กองทัพนี้ต้องการนักสู้ผู้ทรงเกียรติ ทรงศักดิ์ศรี ถึงจำนวนทหารจะน้อย แต่เราสู้สุดชีวิต สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไว้ลายเลือดนักรบแห่งตถาคต ใครคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะลุยขอเชิญ อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งหละที่จะเข้าร่วมสงครามมหากาพย์ครั้งนี้ ตายเป็นตายแต่ขอไว้ลายเลือดนักสู้ไว้ให้โลกดูกันซักตั้ง ส่วนใครอยากจะเป็นทาสต่อไปก็เชิญตามสบายไม่ว่ากัน

Saturday, November 17, 2007

สมาทานศีล ๘

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีความไม่ค่อยพอใจในวัตรปฏิบัติของตนพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกาม เช่นกินเยอะเกินไป นอนเยอะเกินไป รวมถึงเรื่องกามเมถุนด้วยนั่นแหละ แต่ว่าศีล ๕ ก็ไม่ได้ขาดนะ คือศีล ๕ นี้ยังไงก็ยืนพื้นอยู่แล้ว แต่มันยังรู้สึกว่ายังไม่พอสำหรับตนเอง มันรู้สึกขัดอกขัดใจว่าเราน่าจะเป็นคนดีได้มากกว่านี้ ไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสตามเรื่องเหล่านี้ เราควรจะละเอียดละออในศีลให้มากกว่านี้ ถึงแม้สิ่งที่ทำมันจะไม่ผิดศีล ๕ ก็เถอะ

จุดเริ่มต้นจริง ๆ มาจากการที่ ตอนสมัยวัยรุ่นน้ำหนักผมอยู่ที่ ๖๐ กิโลกรัม เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี พอมาทำงานน้ำหนักก็ขึ้นไปที่ ๖๕ ก็ยังพอรับได้ ช่วงหลัง ๆ เริ่มตามใจปากแบบไม่ขัดกันเลยน้ำหนักทะลุเพดานไปถึง ๗๘ น้ำหนักขึ้นมาเกือบ ๒๐ กิโลกรัมนี่มันดูไม่ได้แล้วนะคนเรา ถ้าพูดแบบตรง ๆ มันทุเรศมากเลยหละ

ความอ้วนสร้างผลหลายอย่างเช่น รู้สึกอึดอัด อุ้ยอ้าย กินเยอะคือกินได้ทั้งวัน เข้าห้องน้ำบ่อย (กินเยอะก็ต้องเอาออกเยอะ) นอนเยอะ ความรู้สึกทางกามราคะทุกประเภทเยอะขึ้นหมด เสื้อผ้าบางตัวเริ่มใส่ไม่ได้ เงินที่ใช้ในการกินก็เปลือง และขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นยังมีผลต่อก้ามเนื้อหลังที่ทำหน้าที่พยุงท้อง ก็เลยพลอยทำให้ปวดหลังไปอีก มันดีอย่างเดียวคือรู้สึกมีความสุขที่ได้ตามใจปากในขณะกินเท่านั้นเอง

ช่วงก่อนหน้านี้พยายามจะอดข้าวเย็นแต่พอทำได้ ๒ - ๓ วันก็กลับมากินอีก บางครั้งก็ทำได้ ๔- ๕ วันบ้าง แต่ทำไม่ได้ตลอดสาย อดแล้วเลิก อดแล้วเลิกอยู่ ๓ - ๔ ครั้ง ไม่ถึงไหนซะที มันก็เลยเกิดความรู้สึกเป็นคนขี้แพ้ขึ้นมาอีก เหมือนกับว่าเรามันพวกอ่อนหัด ทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง สัจจะกับตัวเองที่ตั้งใจไว้ทำป๊อบ ๆ แป๊บ ๆ ก็เลิก แค่กิเลสมันทรมานหน่อยเดียวก็หมอบราบคาบแทบเท้ามัน

ผมรู้สึกว่าผมไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ผมว่าปกติผมควรจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งกว่านี้ ของแค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปพูดอะไรถึงมรรคผลนิพพาน ความรู้สึกอ่อนแอบวกกับความรู้สึกผิดเหล่านี้ค่อย ๆ สั่งสมเพิ่มพูน จนวันหนึ่งถึงขีดสุดของมัน คือไปถึงจุดที่ตัวเองรับไม่ได้ ทำไมมึงเกิดมาขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ของแค่นี้มึงทำไม่ได้เหรอ

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่สวดมนต์ไหว้พระเสร็จตามปกติ ก็เลยตั้งใจอธิษฐานไปเลยว่า ต่อไปนี้จะกินข้าวเช้ารอบเดียว ส่วนรอบอื่นจะงดทั้งหมด แบบไม่แต่อะไรเลยแม้แต่เม็ดเดียว จนกว่าน้ำหนักจะลดลงต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัม ถ้าจะกินบ้างก็พวกน้ำหวาน แต่ไม่กินมันเลยดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ขอให้มันฉิบหาย ขอให้มันตายภายใน ๓ วัน ๗ วัน ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย อธิษฐานอย่างนั้นแบบเอาจริงเอาจังกันเลย และที่ทำทั้งหมดนี่ต้องการแค่ลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้น

ปรากฏว่าดีขึ้นแฮะสงสัยมันจะกลัวตาย ที่ไหนได้ไอ้กิเลสความรักตัวกลัวตายนี่ก็ดีเหมือนกัน มันเอาชนะความอยากอื่น ๆ ไ้ด้เพียบเลย ต้องขอบคุณความรักตัวกลัวตายไว้ในโอกาสนี้ด้วย ขอบคุณครับ อดข้าวเย็นไปได้ไม่กี่วันน้ำหนักลดลงไปเหลือประมาณ ๗๐ รู้สึกเบาตัวขึ้นมาหน่อย

ช่วงหลัง ๆ ก็เลยเพิ่มเรื่องกามเมถุนเข้าไปอีกว่าจะไม่แตะต้องมันเด็ดขาดแล้วตั้งใจทำไปทุก ๆ เดือน ถ้ามันดีก็ทำต่อไปทุก ๆ เดือน เหมือนต่อสัญญากันแบบเดือนต่อเดือน ไม่ได้กำหนดเหมือนเรื่องน้ำหนัก

พอทำทั้งสองอย่างมาพักหนึ่งรู้สึกว่าดีขึ้นเยอะ พออดข้าวกามราคะมันก็ลดไปด้วย ตัวก็เบาใจก็เบา แถมรู้สึกมีพลัง มีกำลังใจแบบผู้ชนะเพิ่มเข้ามาอีก ผมว่านี่แหละที่เรียกว่าบารมี มันดีจริง ๆ ดีกว่าตอนที่ปล่อยตามใจเรื่องกินเรื่องกามเป็นอย่างมาก

อยู่มาวันหนึ่งก็เลยมานั่งนึกเรื่องศีล ๘ นึกไปนึกมา เอ๊ะ เราก็ทำทุกอย่างเกือบครบตามศีล ๘ หมดแล้วนี่นา (โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ) เรื่องนอนบนที่นอนนุ่มเราก็ไม่ได้นอนอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอนบนเสื่อไม้ไผ่จีนซึ่งเย็นสบายดี ส่วนการใช้เครื่องสำอางทาป้งทาแป้งเราก็เป็นคนไม่ชอบอยู่แล้ว มีอีกหน่อยเดียวก็เรื่องดูหนังดูละคร ฟังเพลงหาความรื่นเริงบันเทิงใจแค่นั้นเอง ซึ่งปกติก็ไม่ชอบดูหนังดูละครอยู่แล้ว แค่เพิ่มตรงนี้ไปหน่อยเดียวเอง ศีล ๘ เราก็ครบแล้ว

วันต่อมาก็เลยสมาทานศีล ๘ ซะเลย พอทำไปได้ ๑ - ๒ วัน รู้สึกดีแบบสุด ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการสมาทานแล้วทำได้ เป็นกำลังใจ เป็นแรงใจ อีกส่วนเป็นความสบายของตัวศีลเอง มันรู้สึกคล่องแคล่วว่องไว ทั้งกาย ทั้งใจ แบบที่สัมผัสได้ ไม่ใช่นั่งคิดนั่งฝันเอา ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ศีล ๘ มันสบายกว่าศีล ๕ มันเหมาะกับตัวเองมากกว่าศีล ๕ ไม่เคยคิดว่าศีล ๘ จะสบายกว่าศีล ๕ ไปได้ เมื่อก่อนคิดแต่ว่ามันลำบากกว่า แต่พอทำจริง ๆ กลับสบายกว่าซะอีก

เริ่มจากลดความอ้วนมาจบลงที่ศีล ๘ มันก็ดีเหมือนกันนะ ผมก็เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าใครอยากลดความอ้วนไม่ยาก แค่รักษาศีล ๘ ก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องไปหาสถาบันลดความอ้วนให้ยุ่งยากเสียเงินเสียทอง แค่รักษาศีล ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่แล้ว ก็ดีแล้ว ดูอย่างผมน้ำหนักปัจจุบันนี้ลงมาอยู่ที่ ๖๗ กิโลกรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทำได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องภาวนาก็ยังดำเนินต่อไป คือมีสติตามดูรูปนามกายใจ และเริ่มเข้ามาอยู่ในวงของการพิจารณาปัญญาบ้างแล้ว คือเห็นความเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนามกายใจนี้ เมื่อก่อนมองไม่ออกว่าปัญญามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตอนนี้พอเห็นแสงริบหรี่บ้างแล้ว และยิ่งมีศีล ๘ เป็นกำลังเสริมนี่อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้ว เอาหละ เดินหน้าเต็มกำลัง

Friday, June 15, 2007

ธรรมะฝ่ายกุศลนั้นสำคัญหมด

พอเราเริ่มภาวนาเป็น เริ่มรู้จักสัมมาสติว่ามันเป็นยังไง เราก็จะทึกทักไปเองว่า สัมมาสตินั้นสำคัญที่สุด ส่วนอื่น ๆ ไม่สำคัญ นี่เป็นความไม่รอบคอบในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นการศึกษาอย่างขาดปัญญาในการพิจารณา จึงทึกทักเอาเอง ซึ่งแน่นอนมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว

วันหนึ่งเมื่อเรา่ทำไป ๆ เราจะเริ่มรู้ว่าองค์ธรรมฝ่ายกุศลนั้นสำคัญหมด เพราะต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนช่วยกันพยุงจิตใจ ให้เดินอยู่ในเส้นทางของอริยมรรค ไม่ว่าจะเป็น ศรัทธา ขันติ วิริยะ สมาธิ สัจจะ หรือจะแบ่งเป็นหมวด ๆ เช่น ศีล ๕ หิริโอตัปปะ พรหมวิหาร ๔ พละธรรม ๕ โพชฌงค์ ๗ ไล่ไปจนถึง มรรค ๘

ธรรมเหล่านี้สำคัญ นักปฏิบัติเช่นผม ไม่ควรนิ่งนอนใจคิดแต่ว่า สัมมาสติ นั้นสำคัญที่สุด แล้วก็ทิ้งอย่างอื่นเกือบหมด บางอย่างถึงไม่ทิ้งแต่ก็ไม่ให้ความสำคัญมาก การทำแบบนี้ไม่ถูก ไม่ถูกเอามาก ๆ เสียด้วย

อีกมุมในทางตรงกันข้าม ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลนั้นก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน แม้จะเป็นตัวเล็กตัวน้อย อย่าคิดว่านิด ๆ หน่อย ๆ น่า ไม่เป็นไรหรอกมั้ง อย่าลืมว่า ขี้มันก็คือขี้ ไม่ว่าจะก้อนเล็กก้อนใหญ่มันก็เหม็นและสกปรกเหมือนกันหมด

Friday, May 18, 2007

ตกลงความรักและชีวิตคู่มันดีตรงไหนบ้าง

ความรักและชีวิตคู่นั้น
  • ก่อนรักก็กังวลร้อนรุมสุมทรวงดังบ่วงผูกพัน ว่าจะสมหวังหรือไม่
  • ระหว่างอยู่ด้วยกันก็มีข้อขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ บางครั้งก็ใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวได้เพราะไม่มีใครตามใจใครได้ 100 %
  • พอเริ่มมีลูกก็ยิ่งมากกว่าห่วงค้องคอ ยึดมันเหนียวแน่น ยากที่สลัดความผูกพันนี้ให้ออกจากอารมณ์ได้
  • ถ้าระหว่างนั้นมีอะไรที่น่าสงสัยหรือระแวงก็สร้างความทุกข์ให้เนือง ๆ แบบโรคเรื้อรัง
  • ยิ่งถ้ามีปัญหาชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง อันนี้เหมือนโดนยิงโดนฟัน ทั้งเจ็บปวดทรมาน หนักหนาสาหัสสากัณฑ์จนสามารถทำให้เกิดการฆ่าฟันกัน หรือไม่ก็กินเหล้าเมามายเสียสติเสียคนไปเลย
  • ถ้าต้องเลิกอันนี้ทั้งเสียดายทั้งเจ็บช้ำ หลากหลายอารมณ์เข้ามากลุ้มรุมจิตใจ
  • ถ้าไม่เลิกแต่ต้องตายจากกันอันนี้ก็ทรมานใช่ย่อย ไม่ว่าจะตายตอนอายุเท่าไหร่

ความดีของความรักนั้นมีอยู่แต่ไม่ขอเขียนไว้เพราะเป็นฝันอันเรื่องรองที่ใคร ๆ ก็นึกกันออก แต่กลับไม่ค่อยเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นก็ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จากเราไป

จิตใจที่ไม่มีความรักนั้นเบาสบายมากเมื่อเทียบกับตอนที่มี มันคนละโลกเลยนะ ยิ่งเป็นความรักที่ผิดทำนองคลองธรรมยิ่งหนัก ยิ่งมืดมน ยกตัวอย่างพวกที่ไปเป็นชู้ชาวบ้าน อย่าคิดว่ามันมีความสุขนะ ลองตามดูจิตของเขาทุก ๆ ขณะดูสิแล้วจะรู้ว่ามันเป็นอะไรที่เผ็ดร้อนสำหรับจิตมากเลยทีเดียว

สรุปความรักเป็นความร้ายเหมือนที่พระพุทธองค์บอกไม่มีผิดแม้แต่คำเดียว ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะทำร้ายเรา บางคนโชคร้ายโดนมันกระทืบเอาทุกวี่ทุกวัน