Thursday, May 22, 2008

นับถอยหลัง

วันนี้เดินทางไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช กับน้องๆ อีกสามคน (โซดา มล ชาติ) เพราะว่าไม่ได้ไปกราบท่านมานาน รู้สึกคิดถึงครูบาอาจารย์ การภาวนาก็เหมือนคงที่ไม่ไปไหนมาไหนซักที ชาวบ้านที่เขามาทีหลังเขาจะแซงกันไปหมดแล้ว

วันนี้พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส แวะมาเยี่ยมพระอาจารย์ปราโมย์ พอดี ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าน

พออาจารย์เริ่มสอนตอนเช้า ท่านหันมาเห็นหน้าผมท่านก็ยิ้มให้ พอช่วงส่งการบ้านท่านถามว่า โอมเป็นไงบ้าง นึกว่าบวชไปแล้ว ท่านอยากให้บวชอยู่วัดที่เงียบๆ กลัวว่าถ้าบวชที่วัดที่มีการงานทางโลกเยอะจะภาวนาไม่ถึงไหน แล้วท่านก็บอกว่าจิตมันทื่อๆ ไปนะ ให้ใช้จิตมนุษย์ธรรมดาในการเจริญวิปัสสนา เพราะมันดีที่สุดแล้ว

หลังจากจบเทศนาท่านก็ให้ญาติโยมกลับบ้าน แล้วท่านก็ไปคุยกับพระตามปกติ ซึ่งวันนี้มีพระไปปรึกษาธรรมะท่านเยอะพอสมควร (รวมทั้งพระอาจารย์อำนาจซึ่งนัดติดกับท่านด้วย) ตอนก่อนกลับผมก็กราบพระพุทธรูป แล้วก็หันไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์อยู่ด้านท้ายศาลา พอกราบเสร็จเงยหน้าขึ้นมา เห็นท่านกวักมือเรียกก็เลยเดินเข้าไปหาท่าน

ท่านก็เลยถามว่าโอมจะบวชตอนไหน ก็เลยตอบท่านไปตามแผนที่วางไว้คร่าวๆ ว่า ตั้งใจว่าอีกซักปีหนึ่งจะบวช ช่วงนี้ก็ค่อยๆ เตรียมตัวไปและอยู่ดูแลแม่ในช่วงเวลาที่เหลือ ท่านก็เลยบอกว่าดีแล้ว ถ้าจะบวชให้ขึ้นไปอยู่กับอาจารย์อำนาจ นะ ก็เลยตอบท่านไปว่า ก็แล้วแต่พระอาจารย์ครับ เพราะตอนบวชยังไงก็จะมาขอคำแนะนำจากพระอาจารย์อยู่แล้ว ก็แล้วแต่ท่านว่าจะให้ทำยังไง ท่านก็บอกว่า ดีแล้วๆ

ตอนเดินกลับออกมาค่อนข้างรู้สึกดีใจที่ท่านค่อนข้างเอ็นดูเรา และอีกใจหนึ่งก็รู้สึกเหมือนสัญญากับท่านไปแล้ว ก็เลยได้เวลาที่ค่อนข้างแน่นอนเข้ามาอีก คิดว่าชีวิตนี้คงได้บวชในปี ๒๕๕๒ ค่อนข้างแน่นอน อย่างช้าที่สุดก็คงเลยไปไม่ถึงปี ๒๕๕๓

จริงๆ แล้วในความรู้สึกหนึ่งเหมือนกับว่าท่านอาจารย์คงรู้่ว่าถ้าปล่อยให้เราอยู่แบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมามาก มีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ มิหนำซ้ำอายุก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นอุปสรรคในการภาวนาด้วยซ้ำ รีบๆ ไป ภาวนาให้ก้าวหน้ายังจะสร้างประโยชน์ในพระพุทธศาสนา สร้างประโยชน์ให้ชาวบ้านเขาได้มากกว่านี้ กุลบุตรผู้มาทีหลังที่ยังไม่รู้ทางยังมีอยู่ เผื่อว่าอนาคตเราจะพอช่วยเขาได้บ้าง

เวลาในชีวิตที่เหลือจะอยู่กับชาวบ้านนับจากวันนี้ไปก็แค่ปีเดียว เริ่มนับถอยหลังจากบัดนี้เป็นต้นไป คงตั้งใจทำอะไรให้ดีที่สุด (หนักที่สุด) เท่าที่พอจะทำได้ เพราะคิดว่าจะไม่มีเวลากลับมาทำเรื่องพวกนี้อีกแล้วตลอดกาล

Tuesday, January 15, 2008

คนกลัวทุกข์

ขออภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู
ขอนอบน้อมแด่พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ผู้เป็นประทีปส่องธรรม
.....
ผมเป็นคน รักตัว คิดกลัวทุกข์
อยากได้สุข พ้นภัย เที่ยวใฝ่ฝัน
ชาวบ้านว่า สุขมีที่ไหน ก็ไปกัน
ดิ้นทั้งวัน ไม่เห็นใคร ได้สุขจริง

คนหนึ่งบอก ต้องเรียนจบ ให้ครบก่อน
อีกคนสอน ได้งานดี ตามที่ฝัน
แล้วซื้อรถ ผ่อนบ้าน ทำตามกัน
เสร็จแล้วหัน มาก่อร่าง สร้างครอบครัว

แต่ละคน เที่ยวค้นหา ทางของตน
ต่างดิ้นรน เฝ้าค้นหา ความสุขสรรค์
แต่หนึ่งสิ่ง ที่ผู้คน เห็นตรงกัน
มีเงินนั้น ยอดความสุข ทุกรูปนาม

ผมทำตาม เดินตาม สามสิบปี
สุขก็มี ทุกข์ก็มี ตามวิสัย
แต่รู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจ
นี่ไม่ใช่ ทางที่ถูก สุขแท้จริง

วันหนึ่งพบ ยอดครู ผู้เปรื่องปราชญ์
ท่านสามารถ ชี้แนวทาง อย่างอาจหาญ
ไปทางนี้ เลี้ยวตรงนั้น อีกไม่นาน
จะพบพาน ความสุข ไร้ทุกข์จริง

เคล็ดวิชา ที่ท่านสอน คือดูจิต
ไม่ต้องคิด แค่ให้ดู อยู่เฉย ๆ
มันจะเป็น ยังไง ปล่อยมันเลย
ดูเฉย ๆ เพื่อให้รู้ อยู่กับมัน

ไม่น่าเชื่อ แค่ทำตาม ไม่กี่วัน
เฮ้ย..นี่มัน สุดยอดเคล็ดวิชา ที่ใฝ่หา
จึงตั้งใจ ตั้งหน้า และตั้งตา
ความก้าวหน้า ก็เป็นมา ตามกำลัง

ยิ่งทำไป ทุกข์ยิ่งหาย ไปจากจิต
ไม่มีคิด อีกแล้ว เรื่องสงสัย
ยิ่งทำ ยิ่งแน่วแน่ ยิ่งมั่นใจ
จะเอาให้ ทุกข์หายไป ตลอดกาล

เพียงแค่รู้ แค่ดู อยู่ที่จิต
เป็นเพียงนิด หนึ่งใน ยอดมหา
สติปัฏฐานสูตร คำสอน องค์สัมมา
สัมพุทธะ เจ้านั้น ควรหมั่นทำ

มนุษย์โลก เกิดมา ตาดำ ๆ
ทุกข์ครอบงำ ใจจิต มิดหนักหนา
แต่ไฉน ไม่มีใคร สนใจยา
ที่พุทธา ประธานไว้ ให้ปวงชน

เปรียบเหมือนคน เป็นโรค ไม่กินยา
ไม่ยอมมา รักษา อย่าหวังหาย
คงมีทุกข์ ติดตัว ไปจนตาย
ไร้ทางคลาย ทุกข์สาหัส กัดกินใจ

เพียงแค่รู้ แค่ดู อยู่ที่จิต
จะพิชิต ทุกข์ได้ อย่าสงสัย
หากจะพูด ภาษา บาลีไป
แบบนี้ไซร้ เรียกว่า สัมมาสติเอย

นี้เขาเรียก เดินตามรอย แห่งพุทธะ
ดีมากกว่า ไปอินเดีย เสียไหน ๆ
แบบนั้นเรียก ไปแต่ตัว ใช่หัวใจ
ตามยังไง ก็ไม่พบ บรรจบกัน

ใครจะเดิน ไปทางไหน ผมไม่ว่า
แต่อยากท้า ให้มามอง ลองศึกษา
ธรรมะของ องค์สมเด็จ พระสัมมา
ไม่ดีดังว่า ก็เลิกได้ ไม่ว่ากัน

ที่แน่ ๆ ผมจะไป ในทางนี้
ใครว่าดี ว่าชั่ว มั่วไม่สน
ทางของใคร ของมัน นั้นของตน
ผมดิ้นรน ไปก่อนละ ลาก่อนเอย
.....
วันนี้ทำงานวันสุดท้าย ก็เลยเขียนจดหมายลาฉบับคนกลัวทุกข์ วางแผนไว้ว่าจะเตรียมตัวให้พร้อม จะเอาจริงแล้วนะคราวนี้ เดี๋ยวรอดูกัน

Monday, December 10, 2007

แตะนิ้ววิปัสสนา

จริง ๆ ได้ยินพระอาจารย์ปราโมทย์ท่านบอกเรื่องกรรมฐานขยับ เช่นขยับนิ้ว ขยับมือ กระดิกขา ฯลฯ มานานแต่ไม่เคยได้ลองซักที ช่วงนี้มาลองเอานิ้วแตะ ๆ กันดู โดยเอานิ้วโป้งแตะกับปลายนิ้วทั้งสี่แบบเรียงกันไป กลับไปกลับมา เหมือน ๆ พวกหมอดูที่เค้าทำ

ทำแล้วดีจริง ๆ จิตมันตื่นขึ้นมาได้เร็ว เผลอไปป๊อบ ๆ แป๊บ ๆ ก็กลับมารู้สึกตัว เพราะเราต้องขยับนิ้วอยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้คงภาวนาแบบนี้ไปซักพักก่อน ทั้งตอนยืน เดิน นั่ง แล้วค่อยมาดูผลอีกที

Monday, November 26, 2007

อดข้าวเล่น ๆ ดีกว่า

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองอดข้าวเล่น ๆ ดูดีกว่า เอาซัก ๔ - ๗ วันก็แล้วกัน ก่อนจะเดินทางไปสวนสันติธรรมในวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ที่จะถึงนี้

จิตใจของเราปกติแล้วมันดื้อ โดนตามใจมาตั้งแต่เกิด เพราะใคร ๆ ก็ทำตามใจตัวเองทั้งนั้น ใจมันอยากทำอะไรก็ทำตามมันไม่เคยคิดแม้แต่จะขัดมันด้วยซ้ำ มันก็เลยเกิดปัญหาว่าไม่มีใครบังคับใจตัวเองได้สักเท่าไหร่ และไม่ต้องไปพูดถึงการเอาชนะใจของตัวเอง ซึ่งเป็นสาระสำคัญของนักภาวนาเลย

การจะจัดการจิตใจของตัวเองถ้าเราเล่นงานมันตรง ๆ ไม่ได้เราก็เล่นงานมันอ้อม ๆ เช่นอดนอนบ้าง อดข้าวบ้าง เพราะจะว่าไปแล้วร่างกายก็เหมือนกับทาส เหมือนกับกำลังของจิตใจ ถ้าร่างกายสมบูรณ์จิตมันก็มีกำลังมาก กำหราบกันลำบาก ถ้ามันโดนตัดทอนกำลัง ไอ้ที่มันวิ่งวุ่นแส่หาเรื่องหาทุกข์มาใส่ตัวเองมันก็จะลดลง

พอกำลังมันลดมันก็กำหราบกันได้ง่ายหน่อย จะสั่งจะสอนกันให้มีสติระลึกรู้ พิจารณารูปนามมันก็พอสั่งพอสอน พอที่จะน้อมนำมันได้ แต่ถ้ากำลังมันเยอะ ๆ อยู่นี่อย่าไปหวัง มีแต่จะวิ่งพล่านอยู่นั่นแหละ จะว่าไปแล้วก็เหมือนฝึกม้าฝึกช้าง ถ้ามันพยศมากก็ไม่ให้มันกินข้าว พอไม่ให้มันกินมันหิวมาก ๆ อ่อนกำลังลง มันก็จะเริ่มเชื่อฟังและทำตามคำสั่ง ถึงจะพอใช้ประโยชน์จากการฝึกฝนได้

ใครจะว่าเป็นการทรมานตนเองก็แล้วแต่จะมอง แต่เราทำอย่างมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

Thursday, November 22, 2007

คนต่อยกิเลส

ผมนั่งอยู่หลังแคปรถกระบะอีซูสุเพื่อเดินทางขึ้นไปวัดป่าภูผาสูงกับทีมพี่ ๆ ที่ภาวนาด้วยกัน พวกเรานั่งคุยกันไปตามทางเรื่อย ๆ ตามประสาธรรมะไร้เดียงสา บรรยากาศสองข้างทางดูสวยดีเนื่องจากพึ่งผ่านหน้าฝนมาหมาด ๆ ต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้ก็กำลังสวยตามประสายอดเขายามหนาว วัวควายก็อ้วนเต็มที่หลังจากกินมาเต็มอิ่มตลอดหน้าฝน

ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นเป็นระยะ แบบอัตโนมัติไม่ต้องบังคับ แบบเบา ๆ สบาย ๆ พอ ๆ กับบรรยากาศสองข้างทาง บางขณะใจก็ถอยออกมาเห็นภาพในสายตาเป็นเหมือนจอโทรทัศน์ มีเพื่อน ๆ สหธรรมิกนั่งอยู่รอบ ๆ ตัวสามคน ภาพนี้ไม่มีความเป็นเราอยู่ เป็นภาพที่น่าดูและน่าบันทึกไว้ในความทรงจำ

หลังจากขึ้นมาถึงวัดต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตน ชำระร่างกายอาบน้ำ แล้วก็ขึ้นไปทำวัตรเย็น สวดมนต์และนั่งสมาธิตามปกติ ส่วนตัวผมเองการนั่งหลับตาทำสมาธินี่มันเข้ากันไม่ได้จริง ๆ นั่งทีไรง่วงนอนทุกที ก็เลยต้องลงมาเดินจงกรมใต้ศาลา ซึ่งเป็นงานที่ถนัดที่สุด เดินได้ไม่มีเบื่อ เดินไปเถอะ เดินจนเจ็บส้นเท้าก็ยังไม่รู้สึกว่าเบื่อ เพราะฉะนั้นต้องเดินต่อไป

ช่วงนี้จิตใจมีกำลังขึ้นมาพอสมควรจากการอดข้าวรักษาศีล ความรู้สึกเหมือนกับนักรบสมัยโบราณที่จะออกสงครามได้ชุดเกราะมาใหม่ ตอนที่รักษาแค่ศีลห้าเหมือนใส่เสื้อหนังบาง ๆ พอป้องกันดาบ ธนูแบบเบาะ ๆ ได้บ้าง แต่ถ้าโดนเข้าจัง ๆ ของแค่นี้มันไม่พอ แต่พอมารักษาศีลแปดเหมือนได้เกราะเป็นเหล็กกล้าน้ำหนักเบาเต็มตัว มีหมวกไว้กันศาตราวุธด้วย ได้ชุดเกราะดีบวกกับ โล่ห์ (สมถะ) ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ดาบ (สติปัญญา) นี่เริ่มใช้การได้บ้างแล้ว

อาวุธครบมือที่เหลือก็คือออกไปลุย ศัตรูมีพวกเดียวคือ กิเลสในใจของตัวเองเท่านั้น หัวหน้ามันคือ อวิชชา ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของมันทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในใจนี้เอง แต่ไม่เป็นไรอันดับแรกขอจัดการลูำกสมุนกระจ๊อกของมันก่อนเอาฤกษ์เอาชัยเพื่อสร้างเสริมขวัญและกำลังใจ สักวันเดี๋ยวได้เจอกันอวิชชาเอ๋ย รอไม่นานหรอกเดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมให้ถึงห้องนอนเลย

หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จก็ได้เดินขึ้นไปพบท่านพระมหาธีรนาถ ที่กุฏิริมหน้าผา ซึ่งอากาศเย็นมาก พวกเรานั่งสนทนากับท่านประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนที่จะกลับไปนอนที่ศาลาใหญ่ ในระหว่างสนทนาได้ข้อคิดและธรรมะมาเยอะมาก "อาจารย์ธีรนาถนี่ก็ใช่หยอกเหมือนกันแฮะ" ผมนึกในใจ

บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานแต่่แฝงด้วยเนื้อธรรมอย่างตรงไปตรงมา มีคำที่ผมประทับใจหลายคำแต่ขอยกตัวอย่างแค่สองคำก็พอ คำแรกเป็นคำสอนของท่านพ่อลี ท่านสอนไว้ว่า "กิเลสละไม่ยากหรอก แต่ไอ้ที่ยากก็คือหามันไม่เจอ" เออ ผมฟังดูก็จริงแฮะ จริง ๆ แล้วมันจริงสุด ๆ เลยด้วย เพราะถ้ากิเลสที่เราเห็นหน้าเห็นตามัน ยังไง ๆ ซะสติปัญญาเราก็คงพอหาทางจัดการมันได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ส่วนไอ้ตัวที่เราไม่เห็นนี่สิ ให้ตายก็จัดการไม่ได้ เพราะลำพังแค่เห็นยังไม่เห็นเลยจะไปจัดการมันตรงไหน

ยกตัวอย่างถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนขี้โมโห นี่แสดงว่าเราเห็นกิเลสของเราเอง โมโหขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทุกที แต่จะอึดอัดหน่อยว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้ แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาหาทางจัดการกับมันไม่นานก็จัดการกันได้ แต่ไอ้ที่เราไม่เห็นอย่างการติดความสุขในสมาธิ อะไรแบบนี้นี่สิ ตัวปัญหา คือมันดันไม่เห็น หรือมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส พอมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส ก็ไม่คิดจะจัดการ พอไม่คิดที่จะจัดการ มันก็ยังนั่งครองบัลลังก์อยู่ในหัวใจของเราไปอีกนานเท่านานเหมือนที่มันทำมาแล้วตลอดกาล

ส่วนคำที่สองนี่โดนใจสุด ๆ ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นสอนว่า ภิกษุ แปลว่า "คนต่อยกิเลส" คือฟังแล้วได้ใจมาก ให้มันได้อย่างนี้หน่อยสิคนเรา มีแต่โดนกิเลสเฆี่ยนตีอยู่ทั้งวี่ทั้งกันวันทั้่งโลก ไม่มีใครหันมาอัดกับมันสักตั้ง จะมีก็แต่บรมครูอย่างพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะสาวกเท่านั้นเองที่ทำไว้เป็นแบบอย่าง ขอผู้กล้าหน่อยเถอะโลกใบนี้ ประกาศศักดาความเป็นมนุษย์ ว่าเราก็เจ๋งเหมือนกัน ไม่ใช่จะมากดขี่ข่มเหงกันแบบไม่ปราณีปราศรัยแบบนี้ ถึงเวลาประกาศอิสระภาพให้ตัวเอง ประกาศให้โลกธาตุนี้รู้ว่าเราก็หนึ่งเหมือนกัน

ใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้กล้า ใครที่ไม่อยากเป็นผู้แพ้ไปตลอดชีวิต ใครที่ไม่อยากเป็นทาสกิเลสไปจนวันตาย ขอเชิญมาร่วมกับกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหน้าที่หลักอย่างเดียวคือ จัดการกิเลสในใจตัวเอง ต่อยกิเลสให้มันรู้ฝีมือและกำลังของเราซะบ้าง ถ้าฆ่าได้จัดการมันอย่าให้เหลือซาก ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

กองทัพของธรรมเป็นกองทัพอันทรงเกียรติ กองทัพนี้ไม่ต้องการเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ต้องการแค่ลูกผู้ชายตัวจริง เลือดนักสู้ มีความมุ่งมั่น อุตสาหะ ไม่ย่อท้อ มีความอดทนเป็นเลิศ ถ้ากิเลสไม่ตายเราก็ตาย ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ในเมื่อกิเลสมันไม่ธรรมดาครองหัวใจคนได้ทั้งโลก คนที่จะเป็นนักรบของกองทัพธรรมจะเอาพวกเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันเลิกไม่ได้ ถ้าจะทำแบบนั้นกลับบ้านไปกินนมนอนให้กิเลสมันเลี้ยงไว้เฆี่ยนเล่น ๆ ให้มันสนุกไปวัน ๆ ยังจะดีกว่าซะอีก

กองทัพนี้ไม่ได้ต้องการทหารเยอะ ๆ แบบเอาปริมาณ กองทัพนี้ต้องการนักสู้ผู้ทรงเกียรติ ทรงศักดิ์ศรี ถึงจำนวนทหารจะน้อย แต่เราสู้สุดชีวิต สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไว้ลายเลือดนักรบแห่งตถาคต ใครคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะลุยขอเชิญ อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งหละที่จะเข้าร่วมสงครามมหากาพย์ครั้งนี้ ตายเป็นตายแต่ขอไว้ลายเลือดนักสู้ไว้ให้โลกดูกันซักตั้ง ส่วนใครอยากจะเป็นทาสต่อไปก็เชิญตามสบายไม่ว่ากัน

Saturday, November 17, 2007

สมาทานศีล ๘

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีความไม่ค่อยพอใจในวัตรปฏิบัติของตนพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกาม เช่นกินเยอะเกินไป นอนเยอะเกินไป รวมถึงเรื่องกามเมถุนด้วยนั่นแหละ แต่ว่าศีล ๕ ก็ไม่ได้ขาดนะ คือศีล ๕ นี้ยังไงก็ยืนพื้นอยู่แล้ว แต่มันยังรู้สึกว่ายังไม่พอสำหรับตนเอง มันรู้สึกขัดอกขัดใจว่าเราน่าจะเป็นคนดีได้มากกว่านี้ ไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสตามเรื่องเหล่านี้ เราควรจะละเอียดละออในศีลให้มากกว่านี้ ถึงแม้สิ่งที่ทำมันจะไม่ผิดศีล ๕ ก็เถอะ

จุดเริ่มต้นจริง ๆ มาจากการที่ ตอนสมัยวัยรุ่นน้ำหนักผมอยู่ที่ ๖๐ กิโลกรัม เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี พอมาทำงานน้ำหนักก็ขึ้นไปที่ ๖๕ ก็ยังพอรับได้ ช่วงหลัง ๆ เริ่มตามใจปากแบบไม่ขัดกันเลยน้ำหนักทะลุเพดานไปถึง ๗๘ น้ำหนักขึ้นมาเกือบ ๒๐ กิโลกรัมนี่มันดูไม่ได้แล้วนะคนเรา ถ้าพูดแบบตรง ๆ มันทุเรศมากเลยหละ

ความอ้วนสร้างผลหลายอย่างเช่น รู้สึกอึดอัด อุ้ยอ้าย กินเยอะคือกินได้ทั้งวัน เข้าห้องน้ำบ่อย (กินเยอะก็ต้องเอาออกเยอะ) นอนเยอะ ความรู้สึกทางกามราคะทุกประเภทเยอะขึ้นหมด เสื้อผ้าบางตัวเริ่มใส่ไม่ได้ เงินที่ใช้ในการกินก็เปลือง และขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นยังมีผลต่อก้ามเนื้อหลังที่ทำหน้าที่พยุงท้อง ก็เลยพลอยทำให้ปวดหลังไปอีก มันดีอย่างเดียวคือรู้สึกมีความสุขที่ได้ตามใจปากในขณะกินเท่านั้นเอง

ช่วงก่อนหน้านี้พยายามจะอดข้าวเย็นแต่พอทำได้ ๒ - ๓ วันก็กลับมากินอีก บางครั้งก็ทำได้ ๔- ๕ วันบ้าง แต่ทำไม่ได้ตลอดสาย อดแล้วเลิก อดแล้วเลิกอยู่ ๓ - ๔ ครั้ง ไม่ถึงไหนซะที มันก็เลยเกิดความรู้สึกเป็นคนขี้แพ้ขึ้นมาอีก เหมือนกับว่าเรามันพวกอ่อนหัด ทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง สัจจะกับตัวเองที่ตั้งใจไว้ทำป๊อบ ๆ แป๊บ ๆ ก็เลิก แค่กิเลสมันทรมานหน่อยเดียวก็หมอบราบคาบแทบเท้ามัน

ผมรู้สึกว่าผมไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ผมว่าปกติผมควรจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งกว่านี้ ของแค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปพูดอะไรถึงมรรคผลนิพพาน ความรู้สึกอ่อนแอบวกกับความรู้สึกผิดเหล่านี้ค่อย ๆ สั่งสมเพิ่มพูน จนวันหนึ่งถึงขีดสุดของมัน คือไปถึงจุดที่ตัวเองรับไม่ได้ ทำไมมึงเกิดมาขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ของแค่นี้มึงทำไม่ได้เหรอ

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่สวดมนต์ไหว้พระเสร็จตามปกติ ก็เลยตั้งใจอธิษฐานไปเลยว่า ต่อไปนี้จะกินข้าวเช้ารอบเดียว ส่วนรอบอื่นจะงดทั้งหมด แบบไม่แต่อะไรเลยแม้แต่เม็ดเดียว จนกว่าน้ำหนักจะลดลงต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัม ถ้าจะกินบ้างก็พวกน้ำหวาน แต่ไม่กินมันเลยดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ขอให้มันฉิบหาย ขอให้มันตายภายใน ๓ วัน ๗ วัน ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย อธิษฐานอย่างนั้นแบบเอาจริงเอาจังกันเลย และที่ทำทั้งหมดนี่ต้องการแค่ลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้น

ปรากฏว่าดีขึ้นแฮะสงสัยมันจะกลัวตาย ที่ไหนได้ไอ้กิเลสความรักตัวกลัวตายนี่ก็ดีเหมือนกัน มันเอาชนะความอยากอื่น ๆ ไ้ด้เพียบเลย ต้องขอบคุณความรักตัวกลัวตายไว้ในโอกาสนี้ด้วย ขอบคุณครับ อดข้าวเย็นไปได้ไม่กี่วันน้ำหนักลดลงไปเหลือประมาณ ๗๐ รู้สึกเบาตัวขึ้นมาหน่อย

ช่วงหลัง ๆ ก็เลยเพิ่มเรื่องกามเมถุนเข้าไปอีกว่าจะไม่แตะต้องมันเด็ดขาดแล้วตั้งใจทำไปทุก ๆ เดือน ถ้ามันดีก็ทำต่อไปทุก ๆ เดือน เหมือนต่อสัญญากันแบบเดือนต่อเดือน ไม่ได้กำหนดเหมือนเรื่องน้ำหนัก

พอทำทั้งสองอย่างมาพักหนึ่งรู้สึกว่าดีขึ้นเยอะ พออดข้าวกามราคะมันก็ลดไปด้วย ตัวก็เบาใจก็เบา แถมรู้สึกมีพลัง มีกำลังใจแบบผู้ชนะเพิ่มเข้ามาอีก ผมว่านี่แหละที่เรียกว่าบารมี มันดีจริง ๆ ดีกว่าตอนที่ปล่อยตามใจเรื่องกินเรื่องกามเป็นอย่างมาก

อยู่มาวันหนึ่งก็เลยมานั่งนึกเรื่องศีล ๘ นึกไปนึกมา เอ๊ะ เราก็ทำทุกอย่างเกือบครบตามศีล ๘ หมดแล้วนี่นา (โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ) เรื่องนอนบนที่นอนนุ่มเราก็ไม่ได้นอนอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอนบนเสื่อไม้ไผ่จีนซึ่งเย็นสบายดี ส่วนการใช้เครื่องสำอางทาป้งทาแป้งเราก็เป็นคนไม่ชอบอยู่แล้ว มีอีกหน่อยเดียวก็เรื่องดูหนังดูละคร ฟังเพลงหาความรื่นเริงบันเทิงใจแค่นั้นเอง ซึ่งปกติก็ไม่ชอบดูหนังดูละครอยู่แล้ว แค่เพิ่มตรงนี้ไปหน่อยเดียวเอง ศีล ๘ เราก็ครบแล้ว

วันต่อมาก็เลยสมาทานศีล ๘ ซะเลย พอทำไปได้ ๑ - ๒ วัน รู้สึกดีแบบสุด ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการสมาทานแล้วทำได้ เป็นกำลังใจ เป็นแรงใจ อีกส่วนเป็นความสบายของตัวศีลเอง มันรู้สึกคล่องแคล่วว่องไว ทั้งกาย ทั้งใจ แบบที่สัมผัสได้ ไม่ใช่นั่งคิดนั่งฝันเอา ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ศีล ๘ มันสบายกว่าศีล ๕ มันเหมาะกับตัวเองมากกว่าศีล ๕ ไม่เคยคิดว่าศีล ๘ จะสบายกว่าศีล ๕ ไปได้ เมื่อก่อนคิดแต่ว่ามันลำบากกว่า แต่พอทำจริง ๆ กลับสบายกว่าซะอีก

เริ่มจากลดความอ้วนมาจบลงที่ศีล ๘ มันก็ดีเหมือนกันนะ ผมก็เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าใครอยากลดความอ้วนไม่ยาก แค่รักษาศีล ๘ ก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องไปหาสถาบันลดความอ้วนให้ยุ่งยากเสียเงินเสียทอง แค่รักษาศีล ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่แล้ว ก็ดีแล้ว ดูอย่างผมน้ำหนักปัจจุบันนี้ลงมาอยู่ที่ ๖๗ กิโลกรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทำได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องภาวนาก็ยังดำเนินต่อไป คือมีสติตามดูรูปนามกายใจ และเริ่มเข้ามาอยู่ในวงของการพิจารณาปัญญาบ้างแล้ว คือเห็นความเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนามกายใจนี้ เมื่อก่อนมองไม่ออกว่าปัญญามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตอนนี้พอเห็นแสงริบหรี่บ้างแล้ว และยิ่งมีศีล ๘ เป็นกำลังเสริมนี่อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้ว เอาหละ เดินหน้าเต็มกำลัง

Friday, June 15, 2007

ธรรมะฝ่ายกุศลนั้นสำคัญหมด

พอเราเริ่มภาวนาเป็น เริ่มรู้จักสัมมาสติว่ามันเป็นยังไง เราก็จะทึกทักไปเองว่า สัมมาสตินั้นสำคัญที่สุด ส่วนอื่น ๆ ไม่สำคัญ นี่เป็นความไม่รอบคอบในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นการศึกษาอย่างขาดปัญญาในการพิจารณา จึงทึกทักเอาเอง ซึ่งแน่นอนมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว

วันหนึ่งเมื่อเรา่ทำไป ๆ เราจะเริ่มรู้ว่าองค์ธรรมฝ่ายกุศลนั้นสำคัญหมด เพราะต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนช่วยกันพยุงจิตใจ ให้เดินอยู่ในเส้นทางของอริยมรรค ไม่ว่าจะเป็น ศรัทธา ขันติ วิริยะ สมาธิ สัจจะ หรือจะแบ่งเป็นหมวด ๆ เช่น ศีล ๕ หิริโอตัปปะ พรหมวิหาร ๔ พละธรรม ๕ โพชฌงค์ ๗ ไล่ไปจนถึง มรรค ๘

ธรรมเหล่านี้สำคัญ นักปฏิบัติเช่นผม ไม่ควรนิ่งนอนใจคิดแต่ว่า สัมมาสติ นั้นสำคัญที่สุด แล้วก็ทิ้งอย่างอื่นเกือบหมด บางอย่างถึงไม่ทิ้งแต่ก็ไม่ให้ความสำคัญมาก การทำแบบนี้ไม่ถูก ไม่ถูกเอามาก ๆ เสียด้วย

อีกมุมในทางตรงกันข้าม ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลนั้นก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน แม้จะเป็นตัวเล็กตัวน้อย อย่าคิดว่านิด ๆ หน่อย ๆ น่า ไม่เป็นไรหรอกมั้ง อย่าลืมว่า ขี้มันก็คือขี้ ไม่ว่าจะก้อนเล็กก้อนใหญ่มันก็เหม็นและสกปรกเหมือนกันหมด