Thursday, September 30, 2004

วันที่ 19 อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

ลุกตอนหกโมงเช้าเพราะเพลีย เข้านอนดึกไปหน่อย ผิดเวลา ถ้าหากนอนผิดเวลาก็ทำให้การตื่นมีปัญหาเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลกันหมดไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ

เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าพระท่านที่บวชนาน ๆ ท่านสามารถควบคุมความกำหนัดทางเพศได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจแล้ว ความกำหนัดทางเพศมันจะมีเกิดขึ้นเป็นระยะ เป็นธรรมดา โดยปกติเมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะตอบสนองมันด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม แล้วพอมันได้มันก็ได้ใจมันก็จะเกิดความอยากขึ้นอีก แล้วมันก็จะได้อีก แล้วมันก็จะไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จะหานั่นหานี่มาเพิ่มเติมเรื่อย ๆ หารูปโป๊มาดู หาหนังสือโป๊มาอ่าน แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งเสริมกันไปเรื่อย ๆ กิเลสมันก็ส่งเสริมกิเลสด้วยกันเอง ธรรม ก็ส่งเสริมธรรมเช่นเดียวกัน พอเกิดความอยากขึ้นมา ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปตอบสนองความอยาก ให้ดูความอยากที่เกิดขึ้นสักพักมันก็จะหายไปเองตามกฏของไตรลักษณ์ แล้วปัจจัยแวดล้อมที่ส่งเสริมมันเช่นรูปภาพวีดีโอ หรือหนังสือ สิ่งเหล่านี้เราจะได้ใช้มันก็เมื่อมันมีความอยากนี่แหละ พออยากดูก็ไปเปิดดู ไปหาดู พอดูแล้วก็เป็นปัจจัยให้อยากอย่างอื่นอีก พอเรานั่งดูความอยากแล้วไม่ตอบสนองความอยาก มันก็ลดลงแล้วก็หายไปเอง พวกหนังสือ วีดีโอ อะไรต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เอาทิ้งได้เลยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป พอทำไปสักระยะความอยากจะเกิดขึ้นน้อยมากแทบจะไม่เกิดเลย ถึงแม้เกิดก็จะดับไปอย่างรวดเร็ว หมดปัญหาสำหรับเรื่องนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วอสุจิที่ร่างกายผลิตขึ้นมาตามธรรมชาติละ มันจะไปอยู่ไหน ช่วงแรก ๆ มันก็ฝันหรือที่เรียกว่าฝันเปียกนั่นแหละ ประมาณสองสามสัปดาห์มันก็จะฝันทีนึง ก็จะฝันว่าได้มีอะไรกับคนที่ใกล้ชิดอาจจะเป็นแฟน คนรู้จัก หรือคนอื่น ๆ ที่ใกล้ชิด บางครั้งอาจจะเป็นญาติพี่น้องด้วยซ้ำ อันนี้ไม่ต้องกังวลเพราะมันเป็นความฝัน พระพุทธเจ้าท่านว่ามันไม่ผิดเพราะช่วงที่ฝันเป็นช่วงที่เหนือการควบคุมของสติ แต่พออยู่ไปสักระยะ ความฝันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น แม้แต่ความผิดที่จะทำในฝันยังไม่ค่อยจะมีเลย ส่วนเรื่องการฝันที่เป็นเรื่องเป็นราวมันก็จะไม่ฝันแล้ว ตอนตื่นนอนค่อยรู้ตัวว่าอสุจิมันเคลื่อนออกมาแล้วโดยที่ไม่ได้ฝันเลย หรือมันอาจจะฝันแต่เราไม่ได้รับรู้ก็ได้ เอาเป็นว่าเราไม่รู้ก็แล้วกัน

วันนี้จะฝากหนังสือและแผ่น CD ประวัติหลวงปู่มั่น ไปกับพี่ปิ่นไปให้พี่รัตน์ ก็เลยลองเปิดฟังอีกรอบ เกิดกำลังใจขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่ใจตกต่ำมาสองสามวัน ถ้าเกิดจิตใจเกิดหลงทางลงเหว ให้กลับมาฟัง CD ประวัติหลวงปู่มั่น จะได้กลับเข้าถูกทาง และความทุกข์ก็จะเบาบางลงไปในตัว

ได้เจอกับพี่ปิ่นครั้งแรกก็ดีใจที่ได้เจอเพื่อนร่วมทางธรรมอีกคนพี่เขาเอาหนังสือมาให้หลังจากที่สั่งพิมพ์ไปแล้ว และพี่เขาก็มาเป็นพธีกรให้การบรรยายของอาจารย์กำพลในหัวข้อ จิตสดใส แม้กายพิการ

นั่งฟังอาจารย์กำพล พูดได้ข้อคิดตามสมควร เนื้อหาส่วนใหญ่เราเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่ปฏิบัติไม่ได้ถึงท่าน ท่านทำได้ไปไกลแล้ว

เบาบาง : จิตใจเวลามันจะเบามันก็เบาของมันเอง เราบังคับมันไม่ได้ แต่เราทำเหตุให้มันมีผลอย่างนั้นได้

Wednesday, September 29, 2004

วันที่ 18 จิตดิ้นพรวดพราด

ตื่นนอนตีห้าเดินจงกรมตามปกติ แล้วก็ลงมาอาบน้ำไปทำงาน สติยังตามไม่ค่อยทันเท่าไรนัก กิเลสยังมีกำลังอยู่มาก อินเตอร์เน็ตที่ห้องสามารถเล่นได้แล้ว ต่อไปศีลของเราคงบริสุทธิ์ ขึ้นอีกขั้นคือการใช้ทรัพยากร ของบริษัทเราถือว่าเป็นการเอาเปรียบบริษัท ถือเป็นการลักทรัพย์อย่างหนึ่ง แต่ก็มีความจำเป็นต้องใช้เรียนภาษาอังกฤษ และดูเว็บธรรมะ สองอย่างนี้เป็นหลัก อย่างอื่นเลิกหมดแล้ว ที่ผ่านมานั่งใช้ที่บริษัทรู้สึกกังวลและรู้สึกผิดมาระยะนึงแล้ว พอต่อโทรศัพท์ได้ ก็เลยซื้อชั่วโมงอินเตอร์เน็ตมาใช้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณห้าร้อยบาท ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความดีที่ได้ เมื่อเทียบกับจิตใจที่ได้ขัดเกลาให้บริสุทธิ์ เราต้องระลึกไว้เสมอว่า เล็กน้อยก็ไม่ควรจะผิด

ของที่เคยหยิบติดไม้ติดมือจากบริษัทกลับไปใช้เช่นสายแพรของคอมพิวเตอร์ บังเอิญไปค้นเจอคือ เคยถือไปว่าจะเอาไปต่อวงจรเพื่อเขียนโปรแกรมทดสอบฮาร์ดแวร์ ก็ได้ถือมาคืนไว้ที่บริษัทหมด ต่อนี้ไปของอะไรเล็กน้อยแค่ใหนก็จะไม่หยิบไม่เอามาทำประโยชน์ส่วนตนเด็ดขาด ของที่เคยมีอยู่เช่นโปรโตบอร์ดที่มีอยู่เป็นของมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้คืนตั้งแต่ทำชุมนุมอิเล็กทรอนิกส์ (แต่ก่อนไม่ได้ใส่ใจรายระเอียดมากนัก) ก็จะเอาไปคืนให้หมด เสียเงินเท่าไรก็ยอม แต่จะไม่ยอมศีลขาดอีกต่อไป ต้องเด็ดเดี่ยว

ตอนนี้โปรแกรมที่ใช้งานอยู่บนเครื่องถ้าอันไหนเป็นของเถื่อนจะลบทิ้งให้หมดและก็จะไม่ใช้ ถ้าอันไหนจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็ต้องซื้อแพงก็ต้องซื้อเพราะมันถูกต้อง ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น อีกเรื่องนึงคือรูปโป๊ที่มีอยู่เต็มเครื่องจะลบทิ้งให้หมด ขอให้เจอ จะลบทิ้งให้หมด เปลืองทั้งพื้นที่ มิหนำซ้ำยังเป็นตัวส่งเสริมกิเลสด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เคยหวงแหนอยากเก็บมันไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีความเสียดายเลย ลบทิ้งได้อย่างสบาย

จิตดิ้นพรวดพราด : จิตนี้เวลาโดนกิเลสเล่นงานแล้วมันดิ้นพรวดพราดน่าดูชม

Tuesday, September 28, 2004

วันที่ 17 ความทุกข์ชัด ๆ

ตื่นตีห้ามาเดินจงกรมทำสามาธิตามปกติ วันนี้สติก็ผลุบ ๆ ตอนเช้ามีการประชุมเพื่อแจ้งให้ทราบการเปลี่ยนหัวหน้าระดับบนใหม่ สำหรับเราแล้วคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก
ความทุกข์ชัด ๆ : ชีวิตนี้มันทุกข์ชัด ๆ

Monday, September 27, 2004

วันที่ 16 แก้ปัญหา

ไม่ได้ตื่นตีห้าเหมือนปกติ เพราะค่อนข้างเพลียจากการเดินทาง สติก็มีผลุบ ๆ โผล่ ๆ เดินทางมาถึงที่ทำงานมาดูงานที่มีปัญหา รู้สึกว่าจะกู้ข้อมูลที่หายไปคืนมาไม่ได้แล้ว ของเราเองไม่เป็นไรเพราะมีแบ็คอัพอยู่พอสมควรแต่ของคนอื่นนิ่สิหายเกลี้ยงเลย หัวหน้าพยายามโทรมาตามเพื่อหาวิธีแก้เพราะเขาคงจะโดนแผนกอื่นเล่นงานหนักเหมือนกัน ส่วนตัวเราเองยอมรับสภาพเพราะเราเองเป็นคนทำมันพังกับมือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าข้อมูลหรือสิ่งต่าง ๆ เลวร้ายมันค่อนข้างนิ่ง แต่ความทุกข์เล็ก ๆ เกิดขึ้นช่วงที่หัวหน้าเขาพยายามที่จะแก้ไขแล้วเราก็รู้สึกชัดเจนแล้วว่าข้อมูลมันเอามาคืนไม่ได้แล้ว แต่เป็นอย่างนั้นอยู่ไม่กี่ชั่วโมงความรู้สึกนั้นก็หายไป

Sunday, September 26, 2004

วันที่ 15 มนุษย์โลก

นอนหลับไปพักนึงแล้วก็ตื่นขึ้นมาขับรถสลับกันกับพ่อขับรถจนถึงเช้าช่วงขับรถอยู่ง่วงบ้างก็จอดปั๊มน้ำมันยืดเส้นยืดสาย บางทีก็ฝืนขับต่อเป็นความลำบากมาก เห็นรถราบนถนนวิ่งกันก็เกิดสลดสังเวชชีวิตมนุษย์ทำไมเกิดมาต้องลำบากกันขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็ตายทิ้งไปเฉย ๆ ยิ่งพอเข้ามาในตัวกรุงเทพยิ่งเห็นได้ชัดเจนคนเรานี่มันดิ้นรน แล้วก็วุ่นวายกันเสียจริง ๆ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แล้วดิ้นรนกันไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ พอตายแล้วก็ทิ้งทุกอย่างไว้ สิ่งที่ดิ้นรนทำไป โมฆะหมด สิ่งที่ควรทำคือขัดเกลาจิตใจกลับไม่ค่อยทำกัน ทำแต่สิ่งที่ซักวันเราจะทิ้งมันไป ขากลับแวะเข้ามาที่บริษัทเพื่อแก้ไขงานที่มีปัญหาอยู่ปรากฏว่าแก้ไขงานไม่ได้ก็เลยกลับบ้านไปนอนเพราะเพลียมาก

Friday, September 24, 2004

วันที่ 13 ทำงานพลาด

รู้สึกตัวก่อนตีห้าแต่ไม่ยอมลุกเพราะคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาก็เลยนอนต่อ ซักพักก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั่งไว้ แล้วลุกขึ้นมาล้างหน้าขึ้นไปเดินจงกรม
ตอนเย็นกำลังจะออกเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยรถบริษัทเพื่อไปส่งน้องสาวที่สมุยมีโทรศัพท์จากพี่ที่ทำงานเข้ามาแจ้งว่ามีปัญหาใหญ่คือระบบฐานข้อมูลที่ทำไว้เกิดการเสียหาย แล้วก็มานึกได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเราเองที่ทำบางอย่างพลาดไปเมื่อตอนบ่าย แต่ตอนนั้นยังแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะอยู่บนรถแล้ว แต่มีลางสังหรณ์ว่าไม่น่าจะหนักมาก ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลหายอาจจะทั้งระบบเลยก็ได้ นั่งรถไปจิตใจก็พยายามเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วจะแก้อย่างไร แต่สังเกตุเห็นอย่างหนึ่งคือจิตมันไม่ยอมเอาตัวเองไปผสมกับความกังวล มองเห็นจิตกับความกังวลอยู่คนละส่วนกัน มันคิดว่าเดี๋ยวเดินทางไปถึงเทพรักษ์ก่อนแล้วค่อยไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็แก้ไปตามที่ทำได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนมีหวังกังวลมากแล้วก็จะคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ พอเดินทางไปถึงเทพารักษ์ก็เข้าไปดูงานที่นั่นสามารถกู้ข้อมูลได้ประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้แก้เพิ่มเติมก็เลยพอไว้ก่อนให้โปรแกรมพอทำงานไปได้ก่อนเพราะพ่อกับน้องสาวเอาของขึ้นรถรอนานพอสมควรแล้วก็เลยออกไป คิดว่าไปสมุยกลับมาก่อนแล้วค่อยมาจัดการกันต่อ แล้วก็ออกไปเจอกับน้องสาวและพ่อ เห็นหน้าน้องสาวแล้วเกิดความคิดขึ้นว่านี่ขนาดน้องสาวเราเห็นมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ดูตอนนี้ก็ดูแก่เสียแล้วเวลามันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน พอหันไปมองหน้าพ่อยิ่งเกิดความ สงสารเป็นอย่างยิ่งเกิดมาอายุห้าสิบกว่าแล้วยังดิ้นรนไม่หยุด ยังจะดิ้นรนต่อไปอีก หาความทุกข์อยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้เลยว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยเต็มที เห็นแล้วก็สลดใจทั้งสองคน แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ รอไว้ให้ตัวเองขึ้นฝั่งได้ก่อนแล้วจะได้ช่วยเหลือสองคนนี้กันต่อไป

Thursday, September 23, 2004

วันที่ 12 จิตร้องเพลง

ตื่นขึ้นมาตีห้าตรง แต่โดนกิเลสมันหลอกล่อ มันบอกว่าขอเอาหัววางบนหมอนอีกหน่อยไม่หลับหรอกเดี๋ยวหายง่วงค่อยลุก ไม่นานหรอกเดี๋ยวค่อยลุก ปรากฏว่าหลับไปเลย รู้สึกตัวเกือบตีห้าครึ่ง ก็เลยขึ้นไปเดินจงกรม เดินไปเดินมาไม่ค่อยดี ก็เลยนั่งสมาธิ พอนั่ง ๆ ไปรู้สึกอยากเอน ก็เลยเอนหลังนิดนึงไปพิงกำแพง พอพิงไปสักพักนึง มันก็เลยนอน นอนลงบนทางเดินจงกรมนั่นแหละ แล้วก็หลับ.... ตื่นมาอีกที หกโมงสิบนาทีเพราะตั้งโทรศัพท์เตือนไว้จะได้ไม่เกินเวลาเดี๋ยวไปทำงานสาย เป็นแบบนี้มาหลายทีแล้ว ถ้าเราเริ่มต้นไม่ดี สิ่งที่ตามมาจะดูแย่ ๆ ไปหมด แล้วการนั่งสมาธิ ถ้าง่วงนอนอยู่อย่าเอนหลังพิงสิ่งใดเด็ดขาดเพราะมันจะหลับ
ตอนเย็นได้คุยกับหัวหน้าเรื่องการลาบวช หัวหน้าไม่ว่าอะไร และเต็มใจให้ลาสองเดือนตามที่ตั้งใจไว้ หัวหน้าพยายามจะให้ลาแบบไม่หักเงินคือหาวันลาและใช้สิทธิการลาพักร้อนของเรา ซึ่งจะไม่โดนบริษัทหักเงิน สำหรับเราแล้วจะหักก็ไม่เป็นไรเป็นสิ่งที่สมควรแล้วเพราะไม่ได้ทำงาน บริษัทไม่ให้เงินก็ไม่แปลก แต่สิ่งสำคัญคือการจะได้บวช พอรู้วันแน่นอนว่าจะได้บวชแล้วรู้สึกว่าใจมันตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะลาช่วงนี้แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน แต่พอรู้วันแน่นอนขึ้นมารู้สึกดีใจมีกำลังใจแบบบอกไม่ถูก ดูปฏิทินคร่าว ๆ แล้วจะเริ่มลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2547 และมาทำงานอีกทีวันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 ถ้าหากเราเตรียมตัวดี เราอาจจะได้บวชวันที่ 5 ธันวาคม 2547 เพราะเป็นวันอาทิตย์ ส่วนวันเสาร์เอาไว้เดินทางเก็บข้าวของไปวัด ก่อนหน้านั้นคงต้องเดินทางไปวัดบ่อย ๆ เพื่อที่จะไปซักซ้อมพิธีบวชให้คล่องถึงวันจริงจะได้บวชเลย
ก่อนกลับบ้านนั่งเรียนภาษาอังกฤษผ่านเว็บอยู่ พอเรียนใกล้จะเสร็จก็เลยเปิดดูเมลล์ซึ่งเป็นปกติที่เพื่อน ๆ จะส่งรูปโป๊มาให้ตามธรรมเนียมของเด็กยุคสองพัน ก่อนหน้านี้เราดูประจำแหละ แต่มาช่วงหลังเลิกดูก็ปล่อยมันทิ้งไว้ วันนี้เปิดเข้าไปดูก็เห็นเยอะพอสมควร เกิดข้อโต้แย้งระหว่างจิตกับจิตว่าจะทำตามอำนาจกิเลสตัวที่อยากให้เปิดหรือเปล่า ตอนคลิกล็อกอินเข้าไปถ้าให้ดูจิตตอนนั้นอาการคือแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องเปิด พอไปอยู่ตรงเมลล์บ็อกกิเลสก็ยังมีเสียงข้างมากอยู่ขณะที่กำลังจะแพ้กิเลสอยู่มะรอมมะร่อ จิตก็เกิดพลิกคำให้การ เปลี่ยนท่าทีขึ้นมาคลิกลบไปทันที พอไปเห็นอยู่ในถังขยะต้องตามไปลบอีกที กิเลสเหลือกำลังอยู่ไม่มากประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ เกิดนึกเสียดายอยากจะคลิกเปิดขึ้นมาดู นี่ตรงนี้โอ กาสที่มันจะพลิกมาชนะก็เป็นไปได้ แต่โชคดี สุดท้ายจิตก็สั่งให้คลิกลบทิ้งไปให้หมดเลย พอลบไปแล้วก็จบไม่เห็นมีอะไรไม่ได้เป็นทุกข์รู้สึกว่าเป็นสุขด้วยซ้ำที่เอาชนะกิเลสได้ แต่ถ้าเราดันพลาดนะพอนั่งดูก็จะดูไปจดหมด สุดท้ายพอดูเสร็จก็จะเกิดอาการเศร้าหมองตามมาอีกหลายชั่วโมง เนื่องจากกิเลสมันชนะ แล้วมันก็นั่งหัวเราะเยาะเรา แต่วันนี้เราชนะมันแล้วถึงแม้จะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ แต่ก็เป็นกำลังใจในการรบครั้งต่อไป ช่วงหัวค่ำจู่ ๆ จิตก็ร้องเพลง เพลงหนึ่งขึ้นมา เผอิญว่าเราเห็นพอเห็นปุ๊บมันก็หยุดลงทันทีแล้วก็นิ่ง ไม่นานก็ร้องเพลงเดิมอีก พอร้องอีกนิดนึงก็เห็นอีกก็หายอีก ทุกครั้งที่รู้จิตจะหยุด แต่ถ้าไม่รู้ก็คงไม่หยุดคงจะร้องไปจนหมดเหตุ แต่สถานะนี้จำไม่ได้เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีตัวรู้ เท่าที่เห็น เพลงที่เริ่มร้องจะร้องที่ประโยคเดิมตำแหน่งเดิม แล้วบ่อยมาก เกิดขึ้นเป็นระยะ ห้ามไม่ได้กำหนดไม่ได้ แต่ถ้ารู้ปุ๊บหยุดทันที ช่วงระหว่างนั้นก็จะมีเรื่องอื่นปน ๆ ผสมกันเข้ามาผลัดกันเข้ามาพอเห็นปุ๊บก็หายไป แต่เพลงจะมาบ่อยกว่าอย่างอื่น คิดว่านี่คือลักษณะการตามดูจิต แต่เป็นอย่างนี้อยู่ได้ไม่นานประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงก็หายไปเลย เพลงนั้นหายไป มีอารมณ์เศร้าหมองเพราะแฟน เข้ามาแทน คือเห็นเขาเศร้ามาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ยังไม่หาย เราก็เห็นใจ แต่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ดีหน่อยก็ตรงที่เรารู้ว่าเรากำลังโดนกิเลสเล่นงาน แต่แฟนเราไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนกิเลสเล่นงาน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจมอยู่ใต้ทะเลกิเลส คิดแต่ว่ามันเป็นเพราะเรา เราเป็นสาเหตุ แล้วก็ฟุ้งซ่าน ยิ่งเราไม่พูดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเราพูดก็จะกลายเป็นการเริ่มเรื่อง ๆ ใหม่ เราพยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง ถ้าเราขึ้นฝั่งได้เราคงมีกำลังพอที่จะมาช่วยแนะนำให้เขาขึ้นตามไป แต่จะให้แนะนำตอนนี้เลยไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าตัวเองว่ายไปถูกทางหรือเปล่า เราไม่รู่ด้วยซ้ำว่าเรากำลังว่ายออกจากฝั่งหรือว่ากำลังว่ายเข้าฝั่ง คงต้งอรอให้เราขึ้นไปยืนบนฝั่ง หรือไม่ก็เห็นฝั่งชัดเจนก่อนจึงจะพอแนะนำได้ ตอนนี้เราโผล่ขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแล้ว กำลังว่ายไป แต่เขายังจมอยู่ใต้น้ำ ไอ้เราถ้าจะช่วยตอนนี้อาจจมน้ำตายทั้งคู่ ต้องไปให้ถึงฝั่งก่อนแล้วคอยพายเรือกลับมาแนะนำวิธีและทิศทางการว่ายให้พ้นจากทะเลกิเลสเพราะทะเลแห่งนี้ต้องว่ายด้วยกำลังของตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถว่ายแทนกันได้ สักวันเขาคงเข้าใจเรา

Wednesday, September 22, 2004

วันที่ 11 ดวงจิต

ตื่นตีห้าเป็นวันที่สอง ล้างหน้าขึ้นไปเดินจงกรม พอรู้สึกว่าไม่สงบ รู้สึกว่าเหนื่อย หรือรู้สึกว่าง่วง ก็จะเปลี่ยนอิริยาบถ ระหว่างเดิน นั่ง ยืน สลับไปมาจนกระทั่งหกโมง สิบนาทีลงมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน พยายามเอาสติตามรู้ตลอดทุกอิริยาบถ
วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของแฟนผม ผมซื้อของขวัญให้ตามปกติ แต่ดูแล้วแฟนผมไม่ค่อยพอใจเท่าไร แล้วก็เกิดอาการเศร้าหมองของจิตขึ้นมา เห็นแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง นั่งเศร้าน้ำตาไหล ไม่พูดไม่จา ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาคงคาดหวังไว้เยอะ ว่าจะได้นั่นได้นี่พอไม่ได้ก็เกิดผลตามมาทันที เห็นแล้วคิดถึงคำของหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า มนุษย์โลก รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน น่าสงสารมาก เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส แล้วไอ้กิเลสนี่มันโหดร้ายมาก มันทำร้ายดวงจิตอันบริสุทธิ์ ให้เจ็บช้ำเป็นทุกข์มาไม่รู้เท่าไหร่ เราต้องทำทุกอย่างตามบัญชาของกิเลส แล้วมันยังทำร้ายเราอีก มันโหดร้ายจริง ๆ นั่งดูแฟนเศร้าหมองและเป็นทุกข์แล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะที่ผ่านมาพูดไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม เห็นแล้วก็สงสารเป็นอย่างมาก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะขนาดตัวเองก็ยังเอาไม่รอด โดนกิเลสมันเหยียบย่ำหัวจิตหัวใจอยู่ทุกวี่ทุกวัน หลวงตาท่านบอกว่าจิตของเราเป็นของดี วิเศษและสวยงามมากแต่ด้วยอำนาจของกิเลสทำให้มันเศร้าหมองและเป็นทุกข์ ถ้าหากเราจะทำร้ายทำลายใครให้ระวังไว้ให้มาก เพราะทุก ๆ คนมีดวงจิตนี้ เพียงแต่ว่ากิเลสมันครอบงำจิตอยู่เขาจึงทำไปอย่างนั้น การไปทำร้ายทำลายดวงจิตที่ดีนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน มด แมงตัวเล็ก ๆ ก็มีดวงจิตอันวิเศษนี้เหมือนกัน

Tuesday, September 21, 2004

วันที่ 10 ความเพียร

โทรศัพท์มือถือดังตีห้า เพราะตั้งปลุกไว้ ร่างกายไม่อยากลุกเพราะทุกวันตื่นหกโมง เช้า แต่จิตบอกว่าต้องลุก ก็เลยลุกขึ้นนั่งสลึมสลืออยู่ประมาณ 10 นาที แล้วก็ไปล้างหน้า ขึ้นไปเดินจงกรมห้องข้างบนชั้นเจ็ด ซึ่งเป็นห้องที่ญี่ปุ่นซื้อเหมาไว้ทั้งชั้นจึงไม่มีคนอยู่เกือบทั้งชั้น ก่อนหน้านั้นได้ขึ้นไปถูทำความสะอาดไว้เป็นห้องสำหรับภาวนา เป็นชั้นที่เงียบมากเพราะแทบไม่มีคนอยู่เลย ปกติเดินจงกรมจะเอาสติไปรู้สัมผัสระหว่างฝ่าเท้ากับพื้น ซึ่งก็เห็นชัดดี แต่วันนี้เห็นละเอียดขึ้นมาอีกหน่อยว่ามันเป็นความเย็น แล้วก็ได้ลองเอาสติไปรู้ที่ใหม่คือ ช่วงจังหวะการงเข่าตอนก้าวเดิน ตั้งแต่หัวเข่าลงไปถึงข้อท้าว และข้อต่อตรงนิ้ว อันนี้ก็เห็นชัดเจนดี เหมือนกัน เวลาเดินจงกรม ถ้าเห็นอย่างหนึ่งอีกอย่างจะหายไป คือถ้าเห็นลมหายใจ จะไม่เห็นฝ่าเท้า และไม่เห็นขาช่วงล่าง ในทำนองเดียวกัน ถ้าเห็นอีกอันอันอื่น ๆ ก็หายไปหมด จิตมันรับรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้น แต่มันจะสลับไปมาเร็วมาก

Monday, September 20, 2004

วันที่ 9 เจรจากับกิเลส

ตื่นสายอีกแล้ว ลมหายใจก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ หายไปนาน โผล่มาแป็บเดียวก็หายไปอีก นั่งรถไปทำงาน อาการเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น พยายามหาจุดที่จะเป็นสมาธิ สุดท้ายได้ตรงปาก ระหว่างฟันกับฟัน คือพยายามให้มันขบกันแบบแตะกันพอดีอยู่ตลอดเวลา แต่พอเคลิ้มหลับไปมันก็อ้าปากออกทีละน้อย ๆ พอรู้สึกตัวก็ขบใหม่ พบว่าขณะง่วงนอนนี่ ควบคุมสติยากมาก

ก่อนหน้านี้พอตื่นขึ้นมาก็ประกาศสงครามกับกิเลสกันเลย อะไรที่เป็นกิเลสไม่ยอมมันอย่างเดียว แพ้บ้างชนะบ้าง ร้อยละ 90 แพ้ราบคาบ พอรบกับมันเจ็บตัวทุกที คำว่าเจ็บตัวคือเป็นทุกข์นั่นเอง เช่นจะทำบุญเยอะหน่อย ไอ้ความกิเลสความตระหนี่ มันก็ตะครุบมือไว้ มันบอกว่าเยอะเกินไปเดี๋ยวเงินไม่พอใช้นะ แนะ คราวนี้ถ้าเราฝืนทำ มันก็เกิดความทุกข์เล็ก ๆ ตะหงิด ๆ ตามมาเป็นระยะ แต่ถ้าเราไม่ทำเลย มันก็มีอีกฝ่ายนึงทำให้เป็นทุกข์ตะหงิด ๆ เกิดเหมือนกัน คือมันจะกังวลว่า น่าจะทำนา ไม่น่าเป็นคนเลวขนาดนี้เลย ทำบุญแค่นี้บอกเยอะ แล้วทีไปใช้อย่างอื่นไม่เห็นเคยบ่นซักแอะ แนะ ไม่ให้ก็เจอไอ้นี่เล่นงานอีก จะเอายังไงกันแน่ ไอ้ฝ่ายหลังนี่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าฝ่ายดีได้หรือเปล่า เพราะ ถ้ามันดีทำไมมันทำให้เกิดทุกข์ละ เป็นคนไม่ดีก็ทุกข์ เป็นคนดีก็ยังทุกข์อยู่ดี แต่เป็นคนดีทุกข์น้อยกว่าหน่อย ก็เลยหันหน้ามาคุยกัน ตอนบ่ายพี่ปิ่นส่งเมลล์มาเรื่องร่วมพิมพ์หนังสือ ต้นทุนเล่มละ 12 บาท ถ้าหนังสือดีจะพิมพ์ซักร้อยเล่ม แต่ไม่รู้รายละเอียดก็เลยว่าจะช่วยซัก 20 เล่มเป็นการทำบุญปกติ แต่ไอ้ตัวกิเลสมันบอกว่าเยอะไป ก็เลยคุยกับมัน มันบอกว่า 10 เล่มให้ได้ไม่ลำบาก ก็เลยทำตามมัน คิดดูขนาดทำบุญยังต้องฟังกิเลส แต่ทำแบบนี้ดีอย่าง คือทำแล้วสบายใจไม่เกิดความทุกข์ภายหลัง จิตใจเบิกบาน แต่เราก็ไม่ได้เจรจากันทุกเรื่องนะ เรื่องไหนตกลงกันไม่ได้ก็รบกัน ต่อไปว่าจะไม่เขียนไอ้ความคิดแบบนี้แล้วเพราะมันเยอะเกินไป แล้วก็เสียเวลาด้วย นั่งพิมพ์วันนึงเสียเวลาเป็นชั่วโมง เอาเวลาไปตามดูลมหายใจดีกว่า ซึ่งสิ่งที่พิมพ์ลงไปไม่มีอะไรมาก มีแต่ความฟุ้งซ่านอย่างเดียวเท่านั้น ต่อไปจะเน้นเฉพาะรายงานการตามลมหายใจเป็นหลักเท่านั้น

Sunday, September 19, 2004

วันที่ 8 ถอยหลัง

วันนี้ตื่นสายไม่ได้ไปทำบุญ(อีกแล้ว) ปรากฏว่าจิตขุ่นมัวเกือบทั้งวัน สติก็หาย ลมหายใจก็หาย กายก็หาย มีแต่ความฟุ้งซ่าน พอเจอลมหายใจหน่อย ก็เจอแบบกังวล ไม่เจอแบบมีความสุข ทำอะไรก็ไม่สมดังที่คิดไว้ไปหมด ไปติดต่อโทรศัพท์ ก็ไม่ได้เขาบอกว่าคู่สายอาจจะไม่ว่าง ไปซื้อเครื่องซักผ้า ก็มาส่งให้ไม่ได้ ไปซื้อ หนังดีวีดีว่าจะเอามาดู(วัตถุประสงค์หลักเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ) ก็ไม่ได้ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่สงบ เป็นวันที่แปลกมากวันนึง ขอเดาว่าเริ่มต้นวันด้วยความไม่ดี ด้วยกิเลส วันนั้นทั้งทำอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไปหมดเลย ครบรอบการปฏิบัติเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์พอดี เอาใหม่เริ่มต้นใหม่ก็ไม่เป็นไร นับหนึ่งอีกครั้ง

Saturday, September 18, 2004

วันที่ 7 กายคตาสติ

ก่อนตื่นนอนฝันเห็นหลวงตาบัว ฝันว่าได้ไปกราบหลวงตาบัว ในฝันนั้นได้เข้าไปกราบท่านต่อหน้าเลย และขณะกราบนั้นก็นึกในใจว่าตัวเองนี้ยังเลวอยู่ พอเท่านั้นแหละหลวงตาท่านบอกว่าไม่เลวหรอกถือว่าดีแล้ว พอได้ยินเท่านั้นใจมันมีความสุขขึ้นมาปลาบปลื้มแบบบอกไม่ถูก ที่เล่ามานี่ฝันนะ ไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใด แล้วหลวงตาท่านก็อยู่ของท่านไม่เคยได้เจอท่านเลย คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก ที่เราปารถนาไว้ว่าจะไปกราบท่านหลวงตาที่วัดป่าบ้านตาดแต่ติดนู่นติดนี่ไม่ได้ไปเสียที จิตมันไม่สมหวังเสียที มันก็เลยฝันเอา แปลกดี แต่ก็มีความสุข

แล้วก็รูสึกตัวตอนตีห้าครึ่ง โดยอัตโนมัติไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกและก็ไม่ได้บังคับมากนัก ก็เลยลุกขึ้นหุงข้าวกล้องแล้วมานั่งสมาธิ พอเจ็ดโมงก็ไปถวายภัตตาหารเช้าที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งเป็นปกติจะไปทุกวันหยุดหรือวันเสาร์อาทิตย์ แต่ไม่ได้ไปมาสองอาทิตย์แล้วด้วยกิเลสและเหตุบางประการ เวลาจะไปทำบุญนี่จะเห็นความตระหนี่ของตนนิด ๆ คือเวลาซื้อกับข้าวหรือซื้อของบางอย่าง ก็จะรู้สึกว่าทำไมมันแพงจัง บางทีก็คิดว่าซื้อไปเยอะท่านก็ไม่ได้ทาน เพราะมีคนถวายเยอะ นี่จิตมันคิดไปเองนะ บังคับมันไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เวลาใช้เงินอย่างอื่นนี่แหมไม่ได้คิดเลย เช่นเวลาไปกินอาหารตามร้านไม่ว่าจะไปกับเพื่อหรือกับแฟน มีแต่สั่งเลย บางครั้งสั่งมาเกินกินไม่หมด บางครั้งถ้ากินแค่อิ่มก็สั่งมาซักสองร้อยบาทก็พอ แต่ด้วยความตามใจ จากควรที่จะเป็นสองร้อยมันกลายเป็นสามร้อยสี่ร้อยไปจนได้ ถ้ารอบคอบหน่อยสั่งเท่าที่ควรแล้วเอาเงินส่วนเกินนี่มาทำบุญได้อีกโขเลย แต่โดยรวมแล้วจิตส่วนใหญ่ก็ยังดีอยู่มีบางครั้งเท่านั้นที่มันแว็บเข้ามาแบบนี้ ความกังวลที่เจออีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาซื้อของให้ตัวเองนี่เลือกแต่ของดี ๆ พอจะซื้อของไปถวายพระจะดูราคาไม่เอาแพงมากด้วยจิตมันคิดว่าทำบุญควรทำตามกำลังอย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่เวลาซื้อของให้ตัวเองนี่แหมเลือกจัง ต่อไปเอาใหม่ของที่จะนำไปถวายพระต้องให้เท่ากันหรือดีกว่าของที่เราใช้เอง ถ้าไม่ลดของตัวเองก็ต้องเพิ่มของที่ถวายกันละ สิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไรนักหรอกถือว่าดีมากแล้วเมื่อเทียบกับอดีตของตนเอง เพียงแต่ว่าอยากให้สิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่บริสุทธิเท่านั้นเอง ความเลวแม้เศษเสี้ยวธุลีหากเกิดขึ้นต้องแก้ไข ต้องเอาออกไปจะเข้ามาเจือปนไม่ได้ สิ่งใดที่ยังไม่รู้ก็ไม่เป็นไรแต่สิ่งใดที่รู้แล้วต้องแก้

บางคนไม่ค่อยได้ทำบุญเพราะบอกว่าไม่มีเงิน สำหรับผมแล้วเงินทำบุญมีอยู่เสมอถึงแม้จะไม่มากมายนัก เพราะผมได้เงินจากการปฏิบัติธรรมมาฟรี ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นวิธีการเปลี่ยนแนวคิดและแนวปฏิบัตินิดหน่อยครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนเช้าไปทำงานปกติจะต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกไปหน้าปากซอย วันละสิบบาท ขากลับอีกสิบบาท รวมเป็นวันละยี่สิบบาท ไม่ถือว่าเยอะหรอกสำหรับรายได้อย่างผม แต่ผมไม่นั่ง ผมจะตื่นเช้าหน่อยแล้วก็เดินออกไป ตอนที่เดินออกไปก็ภาวนาไปด้วย ประมาณ 10 – 15 นาที ขากลับก็เดินกลับแล้วก็ภาวนาตอนเดินกลับประมาณ 10 นาที ผมได้เงินเก็บวันละยี่สิบบาท เดือนนึงผมได้เงินจากการเดินภาวนาเช้า 15 นาที บ่าย 10 นาที ทำงานประมาณ 22 วัน ผมได้เงินไปทำบุญเดือนละ 440 บาทจากการภาวนา เห็นไหมครับ ผมได้ภาวนาทุกวันก่อนและหลังทำงาน ผมได้ออกกำลังกายจากการเดิน แล้วผมยังได้เงินไปทำบุญอีกฟรี ๆ นี่เป็นตัวอย่างนะครับ จริง ๆ แล้วผมสามารถได้เงินลักษณะนี้จากการปฏิบัตธรรมอีกหลายอย่างเหมือนกัน เช่นเวลากินข้าวเช้ากับข้าวเที่ยงแทนที่จะกินคาบละ 20 – 30 บาท ผมก็กินคาบละ 10 บาท ไม่ได้ขี้เหนียวนะครับเพราะสำหรับร่างกายแล้วแค่นี้ก็เพียงพอ ที่กินมากกว่านี้มีแต่เกินเป็นโทษกับตัวเองทั้งนั้น ผมก็จะได้เงินอีกวันละ 30 บาท จากการปฏิบัติระหว่างกิน คือผมจะซื้ออาหารเหมือนปกติตามที่ต้องการนี่แหละครับแล้วก็นั่งพิจารณาไปด้วยกินไปด้วย พออิ่มเสร็จก็เดินขึ้นไปนั่งภาวนาก่อนทำงานตอนเที่ยง สรุปแล้วผมก็ได้เงินเพิ่มอีก เดือนละ 660 บาทจากการกินอาหารแต่พอเพียง ได้ปฏิบัติด้วย แถมยังไม่ต้องกลัวอ้วน แล้วสุขภาพก็ดีด้วย เห็นใหมครับว่าแค่ผมทำสองอย่างนี้ เดือนนึงผมมีเงินไปทำบุญฟรี ๆ เดือนละพันกว่าบาทแล้ว และถ้ารวมอย่างอื่นด้วย ได้เยอะกว่านี้อีกครับ เช่นเกิดอยากกินไอติมขึ้นมา พอห้ามความอยากได้ ก็เอาเงินมาสบทบกองทุนเพื่อทำบุญ มีเยอะแยะครับที่เกิดจากความอยากได้ของกิเลสแต่ไม่ได้จำเป็นจริง ๆ ได้ทั้งลดกำลังของกิเลส ได้ทั้งปฏิบัติธรรม ได้ทั้งเงินไปทำบุญ ได้ทั้งสุขภาพที่ดี เงินที่ไปทำบุญก็ช่วยขัดเกลากิเลสไปอีก แบ่งปันให้คนอื่นไปเรื่อย ๆ สุขภาพจิตก็ดีมีแต่ดีกับดีครับ แล้วถ้าจะเอาดีกันจริง ๆ ก็ต้องทำกันแบบนี้แหละ

วันนี้ได้อ่านกระทู้ของท่านอาจารย์ปราโมทย์ ซึ่งท่านเขียนไว้ตอนเป็นฆาราวาส ท่านได้กล่าวถึง กายคตาสติ จึงได้ลองเปิดพระไตรปิฎกดู อ่านอย่างตั้งใจจนจบสูตร พบว่าเป็นประโยชน์มาก ได้วิธีการปฏิบัตกายคตาสติ เกี่ยวกับการ เดิน ยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม ปัสวะ อุจจาระ เพิ่มมาอีก ดีมากครับ ถ้าใครจะเริ่มต้นปฏิบัติควรจะอ่านพระสูตรนี้ (กายคตาสติสูตร) นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้มากที่สุดในปัจจุบัน เพราะฉนั้นจึงน่าจะลองปฏิบัติตามดูว่าเป็นจริงอย่างที่เขียนไว้หรือเปล่า เป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่าง ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติ หายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือ ตัวเองยังไม่ถึงยังไม่เห็นอย่าไปเที่ยวสอนใครเขาดังเช่นที่ผ่านมาเด็ดขาด เพราะโอกาสผิดแล้วทำโทษแก่คนอื่นเป็นไปได้สูง ระวังไว้ให้มาก หรือไม่ก็อาจจะไปเจอคนที่เขาปฏิบัติดีกว่าเราอาจจะถึงพระอริยะแล้ว ถ้าดันทะลึ่งไปสอนมีหวัง นรกกินกบาล ถ้าท่านกรุณาช่วยชี้แนะก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าท่านนั่งฟังแล้ว ต้องมากราบมาไหว้เรา สมมุติเป็นช่วงที่เราบวชนะ นรกแน่นอน ให้นั่งดูจิตตัวเองดีกว่า ถ้าใครต้องการเรียนรู้จริง ๆ ให้ตัวเองถึงก่อน จะเมตตาเขาทีหลังก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวเองยังไม่ถึงนี่ห้าม ต้องห้ามจริง ๆ

การปฏิบัติวันนี้เห็นเป็นระยะตลอดทั้งวันใจค่อนข้างบวก คือมีความสุข เห็นลมหายใจ และกายอยู่เป็นระยะ แต่ไม่เห็นมันได้นานเลยลมหายใจนี่ได้ไม่ถึงสิบซักรอบ ช่วงนี้เห็นลมหายใจบ่อยและถี่ขึ้น แต่ปัญหาคืออยู่ไม่ได้นาน ต่อไปจะลองนับเอาให้ถึงสิบอย่างน้อย ไม่รู้จะดีขึ้นหรือเปล่า

Friday, September 17, 2004

วันที่ 6 อย่าเชื่อ

วันนี้ตื่นนอนมาด้วยอาการสดชื่นสบายกว่าทุกวันที่ผ่านมา แต่การตามรู้ไม่ดีเท่าวันที่ผ่านมา ลมหายใจก็จับไม่ค่อยได้ จิต ก็ไม่ค่อยเห็น แต่เดินไปทำงานด้วยความเบิกบานแบบแปลก ๆ ถึงแม้จะรู้สึกมีความสุข แต่ก็แปลก ๆ ทะแม่งชอบกล เหมือนกับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ผ่านไปครึ่งวันความรู้สึกนี้หายไปหมดแล้ว วันนี้ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับธรรมกาย และแนวการปฏิบัติอื่น ๆ เห็นแล้วเกิดความกลัวขึ้นมา คือตอนนี้มีความมั่นใจในแนวทางปฏิบัติของตนเองว่าถูกต้องตามหลักพระพุทธเจ้า แต่เห็นเหมือนกันว่ายังมีอีกหลายสำนัก หลายแนวทางเหลือเกิน ถ้าดันทะลึ่งไปเกิดอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น หรือไปเจออย่างนั้นแล้วไม่ได้เจอพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เสียชาติเกิดแน่ สมกับที่พระพุทธเจ้าบอกไว้จริง ๆ ทางพ้นทุกข์มีทางเดียว ไม่มี 2 ทางอื่นมันผิดกันหมด ไอ้ทางที่ถูกมีทางเดียว แต่ทางที่ผิดนี่นับกันไม่ถ้วน ทางที่ถูกมีทางเดียว ทั้งตรงและแคบอีกต่างหาก มิหนำซ้ำ มีเพียงแสงไฟวูบเดียวที่ส่องมาให้เห็นทาง ๆ นั้น ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า ถ้าผมไม่เรียกว่าโชคดีแล้วจะเรียกว่าอะไรดี ไม่สิต้องเรียกว่าอภิมหาโคตรโชคดีเลยต่างหาก ถ้าไม่ไปเที่ยวนี้มีหวังรออีกนานแสนนาน
พอได้อ่านเรื่องธรรมกายได้ความคิดขึ้นมาอีกอันนึง สิ่งที่อ่านที่ได้ศึกษาหรือสิ่งที่อาจารย์สอนมา สิ่งที่เราคิดว่าถูก หรือแม้กระทั้งพระไตรปิฎกที่ข้าพเข้าเชื่อและปฏิบัติตามอยู่นี้ ไม่ควรปักใจเชื่อเลยเสียทีเดียว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอก ว่าไม่ให้เชื่อด้วยต่าง ๆ นา ๆ 10 ประการ แต่ให้ลองปฏิบัติดูเมื่อเห็นผลแล้วจะละ หรือยึดถือค่อยว่ากันตอนนั้น แนะขนาดว่าไม่เชื่อ อย่างน้อยก็ต้องเชื่อคำสอนอันสุดท้ายนี้อยู่ดี แล้วก็เกิดความคิดตามมา เรื่องหลวงปู่ฤาษีลิงดำ เพราะท่านเคยกล่าวถึงหลวงพ่อสดไว้ แต่ตามที่ฟังดู หลวงพ่อสดท่านดีในระดับนึง แต่ไม่ถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติ แล้วก็เคยทราบมาว่า ท่านไปนอนเล่น นั่งเล่นที่นิพพาน เหมือนที่หลวงปู่ฤาษีลิงดำท่านก็บอกว่าไปนอนไปนั่งเล่นที่นิพพาน แล้วก็ได้ไปพบพระพุทธเจ้าด้วย เกิดความสงสัยในสิ่งที่ท่านสอนเรื่องท่านสอนให้ไปนั่งเล่นนอนเล่นที่นิพพานให้ติด จิตมันจะได้ผูกพัน พอตายจะได้ไปนิพพาน ไม่รู้ว่าเป็นอุบายของท่านที่ทำให้คนหันมาปฏิบัติ แล้วพอทำได้และพ้นทุกข์ ก็จะเข้าใจเอง หรือว่าท่านเกิดอุปทานเกี่ยวกับนิพพาน คือด้วยความรู้ที่เกิดจากการคิดเดาเอาของปุถุชนแบบผมนี่ ผมคิดว่าถ้ายังอยากได้นิพพานอยู่จะยังไม่ได้ ถ้ายังกลัวว่าจะไม่ได้ไปนิพพานอยู่ก็แสดงว่ามีกิเลสตัวที่เป็นความกลัว ความอยากอยู่ จึงไม่น่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง อยากไปนิพพานนี่กิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ น่าจะเป็นทางต้น ๆ เท่านั้นเอง อันนี้เป็นความสงสัยส่วนตัวมันเกิดขึ้น มิได้มีเจตตนาจะดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย แต่ที่มั่นใจได้สำหรับท่านก็คือ การสอนสมาธิ เรื่องทาง สมถกรรมฐาน นั้นผมยอมรับว่าแน่นอนจริง ๆ ทำให้เข้าใจได้ละเอียดยิ่งขึ้น เพราะฉนั้นผมได้อ่านได้ฟังอะไร ตอนนี้จะไม่เชื่อไว้ก่อนต้องลองปฏิบัติดู เพราะเสียหลักกับการปักใจเชื่อในสิ่งที่อ่านมาหลายครั้งแล้ว ต้องเอาหัวใจบัญฑิต ผู้ไฝ่รู้วัดกันเสียแล้ว ฟังแล้วก็รับรู้ไว้ไม่ปักใจเชื่อ ต้องลองทำดูก่อนนั่นเอง
มีบางครั้งบางความคิด ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอามาบันทึกไว้ในที่นี้ แต่คิดว่าเผื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่นในอนาคต ก็เลยจะขอบันทึกความรู้สึก และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้ไม่ปกปิดเก็บไว้ เพราะฉนั้นสิ่งที่บันทึกนี้จึง อาจจะถูกและผิดได้ ในน้ำหนักที่เท่า ๆ กัน เพราะเป็นแค่ความคิด และความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งเท่านั้น

Thursday, September 16, 2004

วันที่ 5 จิตรับรู้ได้เพียงหนึ่ง

วันนี้ตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งไปถึงที่ทำงานคือว่าใช้ได้คือรู้เป็นระยะ แต่ไม่นานแต่ก็รู้ตลอด แต่ช่วงบ่ายนี่เล่นหายไปเลยเกือบทั้งบ่าย ตอนเย็นได้สอนธรรมะให้น้องที่บริษัท เป็นการปูพื้นฐานให้เห็นเป้าหมายว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเพื่ออะไร หลังจากพูดเสร็จรูสึกว่าจิตใจเป็นสุขอยูระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าความสุขนี้มันมีกิเลสผสมอยู่ด้วยมากน้อยแค่ไหนแยกไม่ออกจริง ๆ พอถึงค่ำ ๆ หน่อยก็หายไปเกือบหมดแล้ว วันนี้การตามรู้ลมหายใจไม่ค่อยเด่นนัก แต่ดูเหมือนว่าการตามดูจิตจะเด่นมากกว่าในบางช่วง สังเกตเห็นด้วยตัวเองว่า จิตนี้มันรับรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรสองอย่างในเวลาเดียวกันเลย เช่นตอนนั่งคิด ก็จะมีแต่ความคิด ตัวเตอ ตา หู สัมผัสทางกายหายไปหมด แต่พอตาทำงาน อย่างอื่นก็หายไปหมด พอหูทำงาน อย่างอื่นก็หายไปหมดเหมือนกัน เช่นหากเดิน ๆ อยู่เกิดมีความคิดขึ้นมา ร่างกายที่เดินอยู่ก็หายไป คือหายแบบจิตไม่รับรู้เพราะจิตกำลังคิดอยู่ แล้วกายก็เดินไปของมันเอง สักพักมันก็จะออกมาดูที่ตาบ้าง ที่หูบ้าง แต่มันเร็วมากเลยนะ สลับไปสลับมา เร็วมากจนบางครั้งยากที่จะตามทัน ที่เห็นอีกอย่างนึงก็คือตอนนั่งดูคอนเสิร์ตระหว่างอยู่บนรถกลับบ้านก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจ แต่คนขับดันเปิดคอนเสิร์ตเบิร์ดเสกซึ่งไม่เคยดูมาก่อน มันก็เลยเกิดอาการอยากเล็ก ๆ ก็เลยดูมันซะ ช่วงที่ดูอยู่มีอยู่ระยะนึงเราก็ดูจิตไปด้วย เห็นมันสลับจริง ๆ ระหว่างได้ฟังกับเห็น คือถ้าเห็นจะไม่ฟัง แต่ได้ยิน แต่ถ้าฟังอยู่ รูปที่ตาเห็นก็หายไปใหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามันสลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้แหละเร็วมาก
เวลาที่ไม่มีปัจจัยภายนอกที่โดดเด่นนัก จิตมันจะคิดแล้วก็มันฟุ้งซ่านไปเรื่อย แต่พอตัวรู้เห็นปับมันก็หยุด ไม่รู้ว่าตัวรู้มันเห็นแล้วตัวคิดค่อยหยุด หรือตัวคิดมันหมดปัจจัยของตัวเองพอวูบลงตัวรู้จึงขึ้นมาแทน แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเป็นได้อยู่นานเลย ไม่เกิน 2-3 วินาที หรืออย่างมากก็ 10 วินาทีเท่านั้นก็ฟุ้งใหม่ แล้วก็เห็นใหม่ไปเรื่อย ๆ ตามเรื่องตามราวของมัน

Wednesday, September 15, 2004

วันที่ 4 ไม่มีเวลา

วันนี้ตื่น 6:20 เพราะนอนดึกมาก ตีสาม ต้องทำงานเพื่อจะ นำเสนอในที่ประชุมวันนี้ โดยส่วนตัวผมแล้วมีสันดาน ที่เป็นข้อเสียแก้ไม่หายอยู่อย่างนึง ซึ่งเป็นมานานมาก ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นนิสัยนี้มาเลย นั่นก็คือความชล่าใจ หรือถ้าไฟไม่มาลนก้นก็จะใจเย็น ทำอย่างอื่น ไปก่อน อย่างเช่นเมื่อตอนสมัยเรียน ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือเลย แต่มีข้อดีคือเข้าเรียนทุกวัน แล้วมาอ่านเอาก่อนสอบวันเดียวทุกทีทุกวิชาเลย แต่ก็ดันทำข้อสอบได้ ดีกว่าคนอื่น จบมาเกรดอยู่อันดับที่สี่ของรุ่น ถือเป็นความฟลุ๊กอย่างยิ่ง นิสัยนี้มันติดมาจนกระทั่งทำงาน คืองานที่เขามอบหมายก็ทำไปเรื่อย ๆ พอเจออะไรน่าสนใจหน่อย ก็จะไปนั่งอ่านนั่งลอง อันนี้ไม่ใช่เอาเปรียบบริษัทนะครับคืออ่านก็อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมนี่แหละเป็นความรู้ใหม่ ๆ เป็นการพัฒนาศักยภาพ แต่สิ่งที่ผิดคือผิดเวลาไปหน่อย ตอนนี้เอาใหม่ในเมื่อเริ่มเจริญสติแล้ว ก็จะพยายามถามตัวเองว่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทำงานอยู่หรือเปล่า จะเอาสติดึงตัวเองให้กลับมาทำงานที่เขาต้องการจริง ๆ อยู่เสมอ คาดว่าจะดีขึ้นเดี๋ยวดูกัน
วันนี้ลมหายใจไม่ค่อยดีนักหายไปเป็นชั่วโมงเลย ด้วยเหตุผลเพราะเพลียจากการนอนน้อยด้วย

Tuesday, September 14, 2004

วันที่ 3 ความทุกข์จากงาน

ตั้งโทรศัพท์มือถือปลุกไว้ตี 5 ตื่นมากดแล้วก็นอนต่อ กิเลสมันมีกำลังมากเหลือเกิน วันนี้ดำเนินสติกำหนดรู้ลมหายใจได้พอพอกับเมื่อวาน คือเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนก็อัดกันเลย งานที่ผมทำอยู่ถือว่าเป็นงานที่ดีมาก คือเป็นโปรแกรมเมอร์ และก็เป็นวิศวกร ของบริษัทซีเกทเทคโนโลยีประเทศไทย จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่ งานที่ทำอยู่ก็เป็นงานในฝันของคนหลาย ๆ คน และบริษัทก็ดีมาก ให้ความเป็นอิสระต่อพนักงาน ให้รับผิดชอบตัวเอง ไม่มีกฎระเบียบ เป๊ะ ๆ หัวหน้าก็ดีแสนดี ไม่เคยเร่งรัด ติเตียน ทั้งหัวหน้าโดยตรงและ สูงขึ้นไปอีกระดับก็ดี ไม่รู้จะว่าอย่างไร นี่เป็นความอัศจรรย์สำหรับชีวิตผมอยู่อย่างหนึ่งคือ เกิดมามีหัวหน้าโดยตรง ทั้งหมด 3 คน เจอแต่คนดี ๆ สงสัยชาติก่อนคงทำบุญไว้ดี เคยคุยกับเพื่อร่วมงานคนอื่น หรือบริษัทอื่น ส่วนใหญ่จะมีปัญหากับหัวหน้ามาก จนกระทั่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ถ้านั่งกินข้าวเย็นหรือนั่งคุยกันเวลาอื่น ๆ ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ต้องนินทาหัวหน้า แต่นินทาด้วยความทุกข์ของตัวเอง เห็นแล้วน่าเวทนา จริง ๆ ถึงแม้บริษัทจะดี งานจะดี ตำแหน่งจะดี แต่เชื่อไหมครับว่าผมก็ยังทุกข์อยู่ดี ทุกข์ว่าตัวเองทำงานได้ไม่ดี แต่ก็ทำเต็มที่แล้ว เต็มจนล้นด้วยซ้ำ ทุกข์ว่างานจะเสร็จไม่ทัน กังวลว่างานที่เราทำถ้าหยุดไปด้วยเหตุจำเป็น เช่น ตาย ใครจะมาทำต่อได้ มันเป็นความทุกข์อีกแบบนึงครับ ผมว่าจิตนี่มันดิ้นหาแต่ความทุกข์ ตอนที่มันทุกข์อยู่กับบางอย่างมันก็อยากพ้นทุกข์ตรงนั้นโดยให้ได้ตามใจมัน แต่พอได้มันก็ยังอุตส่าห์ทุกข์อีก

Monday, September 13, 2004

วันที่ 2 โลกที่แตกต่าง

ตื่นนอน 6:15 เนื่องจากตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไม่คิดจะตื่นตีห้าตามกำหนดการเพราะนอนดึกมาก พอเริ่มรู้สึกตัว รู้สึกว่าเพลียมากแทบไม่มีกำลังแต่ก็ฝืนลุกขึ้นมาได้ สังเกตุได้ชัดเจนว่าถึงแม้ร่างกายจะสลึมสลือเมื่อเริ่มรู้สึกตัว จิตก็เริ่มคิดทันที ภายในสองสามความคิดแรกที่วิ่งเข้ามา เริ่มจับลมหายใจทันที แต่ได้แค่สองสามรอบก็หลุดเพราะง่วงมาก นั่งเอ๋ออยู่พักนึง คิด สลับจับลมหายใจอยู่สองสามรอบจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ จับลมหายใจ ได้เป็นระยะ ตอนที่อาบน้ำ จนกระทั่งออกมาแต่งตัว เดินไปขึ้นรถเพื่อทำงาน ระหว่างทางที่เดินไปจับลมหายใจได้ทีละ สองสามรอบแล้วก็หลุด แต่หลุดไม่นานแล้วก็กลับมาจับได้ใหม่ ทำอย่างนี้ได้ตลอดจนกระทั่งเดินไปรอขึ้นรถ ก็ยังจับได้สลับหลุด อยู่ตลอด พอขึ้นไปนั่งบนรถ จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกที รถถึงบริษัทแล้ว ก็เริ่มจับใหม่เดินไปจนถึงโต๊ะทำงาน ก็จับได้สลับกับหลุดอยู่เรื่อย ๆ จับได้ไม่นานแต่ก็หลุดได้ไม่นานเหมือนกัน พอแปดโมงตรงเริ่มทำงาน ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป พบว่าหลาย ๆ ช่วงจับลมหายใจได้เหมือนกัน คือช่วงไหนว่างจากความคิด ก็จะจับลมหายใจได้นิดนึงสองสามรอบ แล้วก็ทำงานต่อ ทำได้อย่างนี้จนกระทั่งเที่ยง เดินไปกินข้าวลมหายใจหายสนิท รู้สึกตัวอีกทีตอนขึ้นมานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนบ่ายโมง จึงลองนั่งดูลมหายใจ บางครั้งได้ห้าถึงหกรอบแล้วก็หลุดสลับไปมาจนกระทั่งถึงบ่ายโมงจึงเริ่มทำงาน รู้สึกได้ชัดเจนว่าถึงแม้จะลองทำแค่ 10 นาทีแต่ รูสึกดีมาก
เมื่อเริ่มทำงานช่วงบ่าย ตลอดเวลาสี่ชั่วโมงลมหายใจหายไปไหนไม่รู้เห็นแค่แวบ ๆ สองสามครั้งตอนเดินไปห้องน้ำ ทั้งรู้สึกเพลียพอสมควร พอตอนจะเลิกงานจึงเห็นลมหายใจอีกรอบ เมื่อสายตามองออกไปที่โต๊ะทำงานด้านหน้าซึ่งมีเพื่อนร่วมงานอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง ขึ้นทันที ระหว่างเรา กับคนอื่น มีความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันคือ รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าตัวเองเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น เห็นคนอื่นนั่งทำอะไรกันก็ไม่รู้ ทำไปตามกรรม ตามกิเลสที่มันสั่งให้ทำ ไม่มีใครเลยที่จะดิ้นรนให้ตนเองหลุดจากกองกิเลส นั่งกอดกิเลสกันอยู่นั่นแหละ แต่ความรู้สึกเหงา ก็ตามขึ้นมาทันที เอ....แล้วทั้งบริษัทซึ่งมีคนหลายพันคนนี่ มีเราเพียงคนเดียวเองรึที่กำลังหาทางดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นก็รู้สึกเหงาอยู่เหมือนกันนะ เอ...หรือว่าเราเป็นบ้าอยู่คนเดียว กำลังทำอะไรที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปแล้วมันจะได้เหมือนอย่างทฤษฎีที่อ่านมาหรือเปล่า ทำง่าย ๆ แค่นี้มันจะได้จริง ๆ หรือ แต่ถ้ามองอีกมุมนึง หรือว่าเขาบ้ากันทั้งบริษัท แต่เรากำลังจะเลิกบ้า ชั่งมัน เก็บของเดินมาขึ้นรถกลับบ้าน ลมหายใจไม่ค่อยเห็น เพราะหลับบนรถอีกตามเคย จนกระทั่งเดินกลับมาถึงห้องก็จับไม่ค่อยได้ ช่วงบ่ายจนถึงเย็นแทบไม่เห็นลมหายใจเลยจริง ๆ
วันนี้เริ่มปัดกวากศีลข้อที่ไม่บริสุทธิ์ให้เริ่มบริสุทธิ์ ได้พอสมควรเหมือนกัน เช่นไม่ใช้อินเตอร์เน็ตของบริษัทเพื่อการส่วนตัว แทบจะไม่ใช้เลย บาร์โค้ดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ รปภ. ตรวจ แต่ก่อนทำบาร์โค้ดขึ้นมาเองเพื่อแปะไว้ข้างหน้าให้เขาตรวจเพราะ ตรวจข้างหลัง ค่อนข้างยุ่งยาก แต่มามองดูมันเป็นการโกหกเขาชัด ๆ ก็เลยแกะออก ต่อไปลำบากอีกนิดหน่อย เปิดให้เขาดู แต่ก็สบายใจ ว่าศีลได้บริสุทธิ์ขึ้นมาอีกระดับแล้ว

Sunday, September 12, 2004

วันที่ 1 ปฐมบทแห่งความตั้งใจในทางที่ถูกต้อง

หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน จนเข้านอน แล้วทำทุกอย่างในชีวิตปกติเหมือนเดิม ง่าย ๆ แค่นี้ คือทางที่ถูกต้อง
ครบรอบสี่เดือนพอดีนับจากวันที่เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังแต่ไม่มีหลักการทำแบบมั่ว ๆ ตอนนี้ได้หลักการแล้ว วันนี้ไม่รู้ว่าเริ่มจากเวลาไหนกันแน่ แต่อ่านหนังสือชื่อ ๗ เดือนบรรลุธรรม จบเมื่อตอนหัวค่ำ ตามความตั้งใจเดิมที่วางไว้คิดว่าสิ่งศักสิทธิ์คงช่วยจริง ๆ เพราะอยากได้อะไรก็ดูเหมือนจะได้มาทุกครั้ง ดังที่ตั้งใจว่าจะเอา อานาปานสติกรรมฐานเป็นที่ตั้งรบกับกิเลส หนังสือเล่มนี้อธิบายได้ละเอียดและชัดเจนมาก แต่ตอนอ่านจบมีความไม่พอใจเกิดขั้นพอสมควรเนื่องจากท่านผู้แต่งได้สรุปว่าเป็นเรื่องที่สมมุติขึ้น ตอนอ่านใจมันมีอุปทานว่าเป็นความจริงตั้งแต่ต้น พอมาอ่านตอนท้ายแค่ประโยคเดียว เหมือนกับจิตมันจะคิดว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นโมฆะไปหมดทั้ง ๆ ที่เนื้อความที่กล่าวมาทั้งหมดสมเหตุผลทุกประการไม่มีแม้แต่ประโยคเดียวที่จะแย้งได้ แค่อ่านจบก็ได้ความรู้แบบสัญญาแล้วว่า แม้แต่หนังสือธรรมะจิตมันก็ยังคิดว่าเป็นตัวเป็นตนเอาความมั่นหมายไปจับแล้วสุดท้ายก็ โดนเล่นงานจากอุปทาน ความมั่นหมายอีกจนได้
ตั้งใจจะเขียนบันทึกนี้ให้ละเอียดทุกกระเบียดนิ้วการปฏิบัติ เพื่อเช็คความก้าวหน้าของตนเอง เพื่อเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้ผิดซ้ำรอยเดิมเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหากคนอื่นสนใจ ก่อนนี้ตอนอ่านหนังสือจบใหม่ ๆ จิตมันยังอุตส่าเกิดโทษะ ว่าทำไมผู้เขียนต้องแต่งขึ้น ทำไมมันไม่เป็นความจริง ก็เลยเกิดอาการจะทำของตัวเอง ซึ่งเรื่องราวที่เราได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่ง เรื่องจริง หรือนิยายมันไม่สำคัญหรอก นิยาย กับชีวิตจริงมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ นี่คงเป็นนิยายอีกเรื่องนึงที่กำลังถูกแต่งอยู่กระมัง
ก่อนหน้านี้ได้รักษาศีลห้าไม่ให้ขาดตกบกพร่องมาระยะนึงแล้ว รู้สึกได้ว่าดีขึ้นแต่ไม่เท่าที่ควร พึ่งจะมารู้สาเหตุว่ามันไม่บริสุทธิ์จริง ๆ ในบางข้อมันจึงเป็นกระดำกระด่างอยู่ ขอทบทวนการปฏิบัติศีลแต่ละข้อดังนี้
ข้อ 1 คิดว่าทำได้ดีแล้วเพราะไม่ฆ่าเลยแม้แต่มดแมง ยุง ตัวเล็ก ๆ ช่วงแรก ๆ เกิดความลำบากนิดหน่อยแต่ตอนนี้สบายขึ้นเยอะ ไม่มีอะไรน่าหนักใจในข้อนี้
ข้อ 2 ลักทรัพย์ เคยคิดว่าเป็นของง่ายเพราะแค่ไม่ขโมยของคนอื่น บาทเดียวก็ไม่เอา ก็ได้แล้ว แต่ปรากฏว่าคิดพิจารณาดี ๆ ข้อนี้ยังด่างพร้อยอยู่พอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นคู่กรณีกับบริษัท เช่น ใช้อินเตอร์เน็ตของบริษัทในการไปอ่านเว็บ ธรรมมะ อ่านเมลล์ ของส่วนตัว ไปเรียนภาษาอังกฤษหลังเลิกงาน ใช้กระดาษและหมึกพิมพ์ของบริษัทในการพิมพ์สิ่งต่าง ๆ เพื่อตนเองถึงแม้จะเป็นเนื้อหาธรรมะก็ตาม เหล่านี้คงต้องหาทางออกให้ถูกต้อง อาจจะขออนุญาตจากบริษัทโดยตรงหรือไม่ก็ต้องใช้ ปัจจัยของตัวเอง ในการทำสิ่งเหล่านี้ อีกอย่างที่สำคัญและแก้ค่อนข้างยากก็คือการใช้ Software เถื่อน ไม่ต้องอธิบายมันผิดเต็มประตู แต่ก็น่าเห็นใจคนไทยที่เป็นการยากเหลือเกินที่จะหาเงินซื้อของแท้มาใช้ได้เพราะแพงเหลือเกินเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ วิธีแก้ปัญหานี้ก็จะหันไปใช้ Freeware และ Open Source ให้เยอะเข้าไว้ จะใช้ของเถื่อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อไปอะไรผิดจะต้องระวังไห้มากแม้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พลาดไม้ได้
ข้อ 3 ข้อนี้ก็เคยคิดว่าสบายสำหรับตัวเองเหมือนกัน ต้องระวังให้มาก สายตา วาจา การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พลาดไมได้เหมือนกัน
ข้อ 4 ข้อนี้ปัญหาใหญ่ถึงแม้จะทำได้ดีมาแล้วในระดับนึง แต่พบว่าการที่ต้องพูดคุยกับคนในสังคงอยู่มาก ๆ นั้น การโกหกตรง ๆ เพื่อเจตนาทำให้เขาเดือดร้อนนั้นไม่มีอยู่แล้ว แต่ว่าส่วนย่อย ๆ ที่บางครั้งดูจะเป็นมารยาททางสังคม เป็นการถนอมน้ำใจ หรือกระทั่งเป็นการตอบคำถามเพื่อให้หัวหน้าสบายใจโดยเบี่ยงเบนความจริงบ้าง การเล่นมุข เล่าตลก พูดเรื่อง เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ยังมีอยู่มาก ข้อนี้ต้องพัฒนาอีกเยอะ
ข้อ 5 ข้อนี้ง่าย และตรง ๆ แค่ไม่กินแล้วก็ไม่อยากกิน ไม่อยากให้คนอื่นกินด้วย ตรง ๆ ไม่ลำบากอะไร
การภาวนาวันนี้เริ่มได้ดี แม้จะขับรถ ไปเดินในห้างสรรพสินค้าจิตก็ระลึกรู้ลมหายใจอยู่เป็นระยะ ไม่ห่างกันมากนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะได้ตามดูจิตมาก่อนแล้วระยะนึงซึ่งก็คงเป็นผลที่ได้มาวันนี้นอนดึกมาก ตีสามกว่าแล้วที่ดึกก็เพราะมานั่งเขียนบันทึกนี้นี่แหละ

แผ่เมตตา

ก่อนจะเข้านอน สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เริ่มต้นด้วย ไหว้พระรัตนตรัย นะโมสามจบ แล้วก็ถวายพรพระ ด้วย อิติปิโส 1 จบ จากนั้นจะขอขมาพระรัตนตรัย แผ่เมตตาตาแบบ แล้วก็แผ่เมตตาด้วยคำพูดของตัวเองอย่างตั้งใจ เริ่มจาก ด้วยบุญกุศลคุณงามความดีที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติทุก ๆ ชาติ นับแสนกัปแสนกัลป์จนถึงปัจจุบัน ขอถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอถวายแด่พระธรรม และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ทั้งองค์ปัจจุบัน และทุก ๆ องค์ และขอแผ่เมตตาบุญกุศลทั้งหลายแก่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คู่ครอง น้องชาย น้องสาว ญาติพี่น้อง เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน ทุก ๆ คน (บางคนก็เอ่ยชื่อด้วย) ทั้งในชาตินี้และ ทุก ๆ ชาติที่ผ่านมา ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะอยู่ในภพภูมใดก็ขอให้ได้รับส่วนบุญกุศลนี้ให้ท่านมีความสุขสบายตามอัตภาพด้วยเถิด และขอแผ่เมตตาบุญกุศลนี้ให้กับ เพื่อนร่วมชาติไทย คนต่างชาติ ยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง และทุก ๆ คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ผู้ที่ชดใช้กรรมอยู่ในนรกทุก ๆ ขุมตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นมา และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ ผู้ที่อยู่ในสุคติภูมิ ทุก ๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นางฟ้า รุกขเทวดา ชั้นต่าง ๆ ชั้นดุสิต ชั้นดาวดึง ชั้นอื่น ๆ ซึ่งไม่รู้จักชื่อ จนถึงชั้นพรหม และพระอินทร์ทุก ๆ ท่าน ด้วยส่วนบุญที่ข้าพเจ้าอุทิศให้อาจจะเป็นส่วนน้อยหากเทียบกับส่วนของท่านก็ยังทำให้ข้าพเจ้าภูมิใจ และขออุทิศส่วนกุศลให้กับ เจ้าที่เจ้าทางผู้ดูแลปกปักรักษาอยู่นะที่ต่าง ๆ ทั้งหมด โดยเฉพาะ ที่ทำงาน บ.ซีเกทโคราช บ.ซีเกทเทพารักษ์ เจ้าที่ที่สีมาคอนโด เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ ม.ข. เจ้าที่ที่ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าเคยอยู่อาศัยมาทั้งหมด และสุดท้ายเป็นพิเศษขออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ก่อกรรมกันมา สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเคยทำกับท่านไว้ขอท่านช่วยอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าเพื่อความสุขของข้าพเจ้าและของท่าน จนกว่าข้าพเจ้าและท่านจะเข้าสูพระนิพพาน และหากท่านหรือใคร ๆ ที่เคยก่อกรรมก่อเวรกับข้าพเจ้าไว้ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมทั้งหมดไม่มีข้อแม้ใดๆ สุดท้ายด้วยบุญบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์ปัจจุบัน รวมทั้งองค์อื่น ๆ หรือด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าเคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันก็ดี ขอผลบุญนั้นจงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้พบแนวทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติ ให้ถึงพระนิพพานภายในชาตินี้ (มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่พระธรรมนั้นลึกซึ้งและหลากหลายเหลือเกิน กลัวว่าจะเดินผิดทางดังที่คนส่วนใหญ่เดินผิดกันมานัก ต่อนักแล้ว) หรือหากกำลังเดินผิดทางอยู่ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่ากำลังเดินผิดทาง และกลับมาเดินให้ถูกทาง จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
จะว่าอภินิหาร หรือคิดเอาเองด้วยอุปทานก็ไม่รู้ นะตอนนี้ข้าพเจ้ามีหนังสืออยู่สองเล่มเป็นแนวทางการปฏิบัติที่เข้าตากรรมการมากแล้วทั้งสองเล่มก็ใกล้เคียงกันมาก เล่มแรกชื่อประทีปส่องธรรม อีกเล่มชื่อ ๗ เดือนบรรลุธรรมอ่านจบเรียบร้อยทั้งสองเล่มเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นแนวทางการเดินสู่มรรคผลอย่างชัดเจน รวมทั้งวิธีการปฏิบัติอย่างละเอียดละออดีมาก ข้าพเจ้าเห็นทางแล้วและข้าพเจ้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว (ถ้าเป็นครั้งสมัยพุทธกาลข้าพเจ้าคงจะอุทาน ออกมาดั่งที่คนส่วนใหญ่เขาอุทานกัน ว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หมายเหตุ: ในวงเล็บเพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๘ เนื่องจากพึ่งจะเห็นชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับ คนอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีคนที่รู้สึกกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ในทำนองเดียวกันนี้มานักต่อนักแล้ว อัศจรรย์จริง ๆ)
นับตั้งแต่เกิดใช้ชีวิตแบบไม่รู้อยู่ถึง 19 ปีกว่าจะได้เห็นแสงสว่างแว็บเข้ามาในชีวิต หลังจากเห็นแสงแว็บแรกต้องใช้เวลาอีกถึง 7 ปีถึงจะได้เริ่มเดินทางเข้าสู่ทางสว่างซึ่งมีแสงเพียงรำไรนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ทางที่เข้าสู่มรรคผลนิพพานนั้นเหมือนแสงที่สาดเข้ามาเพียงแว็บเดียวในวัฏสงสารนี้ใครเห็นและเดินเข้าไปทันก็ทัน จากนั้นก็จะอยู่ในความมืดมนอีกนาน นานจนปีมนุษย์ไม่สามารถจะคิดได้ ข้าพเจ้าไม่ประมาทอีกต่อไปแล้วไม่รู้ว่าถ้าพลาดครั้งนี้แล้วครั้งต่อไปจะอีกเมื่อไรถึงแม้จะได้เกิดสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า แสงก็มิได้ทั่วถึงทุก ๆ คนมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นและเดินเข้าไปจนถึงฝั่ง
ยากที่จะตอบคำถามว่าข้าพเจ้ามาถึงจุดที่สำคัญนี้ได้อย่างไร จะตอบได้ก็คงเพียงด้วยการเดาจากความรู้อันน้อยนิดที่พอได้อ่านได้ฟังมาว่า ชีวิตนี้กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเคยได้คิดและได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนี้ในชาติก่อน ๆ จึงส่งผลให้ชาตินี้ กรรมขาวที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ ค่อย ๆ ส่งผลและชี้ทางให้ข้าพเจ้ามาถึงจุดนี้ได้