Saturday, November 17, 2007

สมาทานศีล ๘

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีความไม่ค่อยพอใจในวัตรปฏิบัติของตนพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกาม เช่นกินเยอะเกินไป นอนเยอะเกินไป รวมถึงเรื่องกามเมถุนด้วยนั่นแหละ แต่ว่าศีล ๕ ก็ไม่ได้ขาดนะ คือศีล ๕ นี้ยังไงก็ยืนพื้นอยู่แล้ว แต่มันยังรู้สึกว่ายังไม่พอสำหรับตนเอง มันรู้สึกขัดอกขัดใจว่าเราน่าจะเป็นคนดีได้มากกว่านี้ ไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสตามเรื่องเหล่านี้ เราควรจะละเอียดละออในศีลให้มากกว่านี้ ถึงแม้สิ่งที่ทำมันจะไม่ผิดศีล ๕ ก็เถอะ

จุดเริ่มต้นจริง ๆ มาจากการที่ ตอนสมัยวัยรุ่นน้ำหนักผมอยู่ที่ ๖๐ กิโลกรัม เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี พอมาทำงานน้ำหนักก็ขึ้นไปที่ ๖๕ ก็ยังพอรับได้ ช่วงหลัง ๆ เริ่มตามใจปากแบบไม่ขัดกันเลยน้ำหนักทะลุเพดานไปถึง ๗๘ น้ำหนักขึ้นมาเกือบ ๒๐ กิโลกรัมนี่มันดูไม่ได้แล้วนะคนเรา ถ้าพูดแบบตรง ๆ มันทุเรศมากเลยหละ

ความอ้วนสร้างผลหลายอย่างเช่น รู้สึกอึดอัด อุ้ยอ้าย กินเยอะคือกินได้ทั้งวัน เข้าห้องน้ำบ่อย (กินเยอะก็ต้องเอาออกเยอะ) นอนเยอะ ความรู้สึกทางกามราคะทุกประเภทเยอะขึ้นหมด เสื้อผ้าบางตัวเริ่มใส่ไม่ได้ เงินที่ใช้ในการกินก็เปลือง และขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นยังมีผลต่อก้ามเนื้อหลังที่ทำหน้าที่พยุงท้อง ก็เลยพลอยทำให้ปวดหลังไปอีก มันดีอย่างเดียวคือรู้สึกมีความสุขที่ได้ตามใจปากในขณะกินเท่านั้นเอง

ช่วงก่อนหน้านี้พยายามจะอดข้าวเย็นแต่พอทำได้ ๒ - ๓ วันก็กลับมากินอีก บางครั้งก็ทำได้ ๔- ๕ วันบ้าง แต่ทำไม่ได้ตลอดสาย อดแล้วเลิก อดแล้วเลิกอยู่ ๓ - ๔ ครั้ง ไม่ถึงไหนซะที มันก็เลยเกิดความรู้สึกเป็นคนขี้แพ้ขึ้นมาอีก เหมือนกับว่าเรามันพวกอ่อนหัด ทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง สัจจะกับตัวเองที่ตั้งใจไว้ทำป๊อบ ๆ แป๊บ ๆ ก็เลิก แค่กิเลสมันทรมานหน่อยเดียวก็หมอบราบคาบแทบเท้ามัน

ผมรู้สึกว่าผมไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ผมว่าปกติผมควรจะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งกว่านี้ ของแค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปพูดอะไรถึงมรรคผลนิพพาน ความรู้สึกอ่อนแอบวกกับความรู้สึกผิดเหล่านี้ค่อย ๆ สั่งสมเพิ่มพูน จนวันหนึ่งถึงขีดสุดของมัน คือไปถึงจุดที่ตัวเองรับไม่ได้ ทำไมมึงเกิดมาขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ของแค่นี้มึงทำไม่ได้เหรอ

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่สวดมนต์ไหว้พระเสร็จตามปกติ ก็เลยตั้งใจอธิษฐานไปเลยว่า ต่อไปนี้จะกินข้าวเช้ารอบเดียว ส่วนรอบอื่นจะงดทั้งหมด แบบไม่แต่อะไรเลยแม้แต่เม็ดเดียว จนกว่าน้ำหนักจะลดลงต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัม ถ้าจะกินบ้างก็พวกน้ำหวาน แต่ไม่กินมันเลยดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ขอให้มันฉิบหาย ขอให้มันตายภายใน ๓ วัน ๗ วัน ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย อธิษฐานอย่างนั้นแบบเอาจริงเอาจังกันเลย และที่ทำทั้งหมดนี่ต้องการแค่ลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้น

ปรากฏว่าดีขึ้นแฮะสงสัยมันจะกลัวตาย ที่ไหนได้ไอ้กิเลสความรักตัวกลัวตายนี่ก็ดีเหมือนกัน มันเอาชนะความอยากอื่น ๆ ไ้ด้เพียบเลย ต้องขอบคุณความรักตัวกลัวตายไว้ในโอกาสนี้ด้วย ขอบคุณครับ อดข้าวเย็นไปได้ไม่กี่วันน้ำหนักลดลงไปเหลือประมาณ ๗๐ รู้สึกเบาตัวขึ้นมาหน่อย

ช่วงหลัง ๆ ก็เลยเพิ่มเรื่องกามเมถุนเข้าไปอีกว่าจะไม่แตะต้องมันเด็ดขาดแล้วตั้งใจทำไปทุก ๆ เดือน ถ้ามันดีก็ทำต่อไปทุก ๆ เดือน เหมือนต่อสัญญากันแบบเดือนต่อเดือน ไม่ได้กำหนดเหมือนเรื่องน้ำหนัก

พอทำทั้งสองอย่างมาพักหนึ่งรู้สึกว่าดีขึ้นเยอะ พออดข้าวกามราคะมันก็ลดไปด้วย ตัวก็เบาใจก็เบา แถมรู้สึกมีพลัง มีกำลังใจแบบผู้ชนะเพิ่มเข้ามาอีก ผมว่านี่แหละที่เรียกว่าบารมี มันดีจริง ๆ ดีกว่าตอนที่ปล่อยตามใจเรื่องกินเรื่องกามเป็นอย่างมาก

อยู่มาวันหนึ่งก็เลยมานั่งนึกเรื่องศีล ๘ นึกไปนึกมา เอ๊ะ เราก็ทำทุกอย่างเกือบครบตามศีล ๘ หมดแล้วนี่นา (โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ) เรื่องนอนบนที่นอนนุ่มเราก็ไม่ได้นอนอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอนบนเสื่อไม้ไผ่จีนซึ่งเย็นสบายดี ส่วนการใช้เครื่องสำอางทาป้งทาแป้งเราก็เป็นคนไม่ชอบอยู่แล้ว มีอีกหน่อยเดียวก็เรื่องดูหนังดูละคร ฟังเพลงหาความรื่นเริงบันเทิงใจแค่นั้นเอง ซึ่งปกติก็ไม่ชอบดูหนังดูละครอยู่แล้ว แค่เพิ่มตรงนี้ไปหน่อยเดียวเอง ศีล ๘ เราก็ครบแล้ว

วันต่อมาก็เลยสมาทานศีล ๘ ซะเลย พอทำไปได้ ๑ - ๒ วัน รู้สึกดีแบบสุด ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการสมาทานแล้วทำได้ เป็นกำลังใจ เป็นแรงใจ อีกส่วนเป็นความสบายของตัวศีลเอง มันรู้สึกคล่องแคล่วว่องไว ทั้งกาย ทั้งใจ แบบที่สัมผัสได้ ไม่ใช่นั่งคิดนั่งฝันเอา ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ศีล ๘ มันสบายกว่าศีล ๕ มันเหมาะกับตัวเองมากกว่าศีล ๕ ไม่เคยคิดว่าศีล ๘ จะสบายกว่าศีล ๕ ไปได้ เมื่อก่อนคิดแต่ว่ามันลำบากกว่า แต่พอทำจริง ๆ กลับสบายกว่าซะอีก

เริ่มจากลดความอ้วนมาจบลงที่ศีล ๘ มันก็ดีเหมือนกันนะ ผมก็เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าใครอยากลดความอ้วนไม่ยาก แค่รักษาศีล ๘ ก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องไปหาสถาบันลดความอ้วนให้ยุ่งยากเสียเงินเสียทอง แค่รักษาศีล ๘ ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่แล้ว ก็ดีแล้ว ดูอย่างผมน้ำหนักปัจจุบันนี้ลงมาอยู่ที่ ๖๗ กิโลกรัมเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทำได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องภาวนาก็ยังดำเนินต่อไป คือมีสติตามดูรูปนามกายใจ และเริ่มเข้ามาอยู่ในวงของการพิจารณาปัญญาบ้างแล้ว คือเห็นความเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนามกายใจนี้ เมื่อก่อนมองไม่ออกว่าปัญญามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตอนนี้พอเห็นแสงริบหรี่บ้างแล้ว และยิ่งมีศีล ๘ เป็นกำลังเสริมนี่อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้ว เอาหละ เดินหน้าเต็มกำลัง

No comments: