Thursday, November 22, 2007

คนต่อยกิเลส

ผมนั่งอยู่หลังแคปรถกระบะอีซูสุเพื่อเดินทางขึ้นไปวัดป่าภูผาสูงกับทีมพี่ ๆ ที่ภาวนาด้วยกัน พวกเรานั่งคุยกันไปตามทางเรื่อย ๆ ตามประสาธรรมะไร้เดียงสา บรรยากาศสองข้างทางดูสวยดีเนื่องจากพึ่งผ่านหน้าฝนมาหมาด ๆ ต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้ก็กำลังสวยตามประสายอดเขายามหนาว วัวควายก็อ้วนเต็มที่หลังจากกินมาเต็มอิ่มตลอดหน้าฝน

ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นเป็นระยะ แบบอัตโนมัติไม่ต้องบังคับ แบบเบา ๆ สบาย ๆ พอ ๆ กับบรรยากาศสองข้างทาง บางขณะใจก็ถอยออกมาเห็นภาพในสายตาเป็นเหมือนจอโทรทัศน์ มีเพื่อน ๆ สหธรรมิกนั่งอยู่รอบ ๆ ตัวสามคน ภาพนี้ไม่มีความเป็นเราอยู่ เป็นภาพที่น่าดูและน่าบันทึกไว้ในความทรงจำ

หลังจากขึ้นมาถึงวัดต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตน ชำระร่างกายอาบน้ำ แล้วก็ขึ้นไปทำวัตรเย็น สวดมนต์และนั่งสมาธิตามปกติ ส่วนตัวผมเองการนั่งหลับตาทำสมาธินี่มันเข้ากันไม่ได้จริง ๆ นั่งทีไรง่วงนอนทุกที ก็เลยต้องลงมาเดินจงกรมใต้ศาลา ซึ่งเป็นงานที่ถนัดที่สุด เดินได้ไม่มีเบื่อ เดินไปเถอะ เดินจนเจ็บส้นเท้าก็ยังไม่รู้สึกว่าเบื่อ เพราะฉะนั้นต้องเดินต่อไป

ช่วงนี้จิตใจมีกำลังขึ้นมาพอสมควรจากการอดข้าวรักษาศีล ความรู้สึกเหมือนกับนักรบสมัยโบราณที่จะออกสงครามได้ชุดเกราะมาใหม่ ตอนที่รักษาแค่ศีลห้าเหมือนใส่เสื้อหนังบาง ๆ พอป้องกันดาบ ธนูแบบเบาะ ๆ ได้บ้าง แต่ถ้าโดนเข้าจัง ๆ ของแค่นี้มันไม่พอ แต่พอมารักษาศีลแปดเหมือนได้เกราะเป็นเหล็กกล้าน้ำหนักเบาเต็มตัว มีหมวกไว้กันศาตราวุธด้วย ได้ชุดเกราะดีบวกกับ โล่ห์ (สมถะ) ที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ แต่ดาบ (สติปัญญา) นี่เริ่มใช้การได้บ้างแล้ว

อาวุธครบมือที่เหลือก็คือออกไปลุย ศัตรูมีพวกเดียวคือ กิเลสในใจของตัวเองเท่านั้น หัวหน้ามันคือ อวิชชา ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของมันทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในใจนี้เอง แต่ไม่เป็นไรอันดับแรกขอจัดการลูำกสมุนกระจ๊อกของมันก่อนเอาฤกษ์เอาชัยเพื่อสร้างเสริมขวัญและกำลังใจ สักวันเดี๋ยวได้เจอกันอวิชชาเอ๋ย รอไม่นานหรอกเดี๋ยวจะเข้าไปเยี่ยมให้ถึงห้องนอนเลย

หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จก็ได้เดินขึ้นไปพบท่านพระมหาธีรนาถ ที่กุฏิริมหน้าผา ซึ่งอากาศเย็นมาก พวกเรานั่งสนทนากับท่านประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนที่จะกลับไปนอนที่ศาลาใหญ่ ในระหว่างสนทนาได้ข้อคิดและธรรมะมาเยอะมาก "อาจารย์ธีรนาถนี่ก็ใช่หยอกเหมือนกันแฮะ" ผมนึกในใจ

บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานแต่่แฝงด้วยเนื้อธรรมอย่างตรงไปตรงมา มีคำที่ผมประทับใจหลายคำแต่ขอยกตัวอย่างแค่สองคำก็พอ คำแรกเป็นคำสอนของท่านพ่อลี ท่านสอนไว้ว่า "กิเลสละไม่ยากหรอก แต่ไอ้ที่ยากก็คือหามันไม่เจอ" เออ ผมฟังดูก็จริงแฮะ จริง ๆ แล้วมันจริงสุด ๆ เลยด้วย เพราะถ้ากิเลสที่เราเห็นหน้าเห็นตามัน ยังไง ๆ ซะสติปัญญาเราก็คงพอหาทางจัดการมันได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ส่วนไอ้ตัวที่เราไม่เห็นนี่สิ ให้ตายก็จัดการไม่ได้ เพราะลำพังแค่เห็นยังไม่เห็นเลยจะไปจัดการมันตรงไหน

ยกตัวอย่างถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนขี้โมโห นี่แสดงว่าเราเห็นกิเลสของเราเอง โมโหขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทุกที แต่จะอึดอัดหน่อยว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้ แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาหาทางจัดการกับมันไม่นานก็จัดการกันได้ แต่ไอ้ที่เราไม่เห็นอย่างการติดความสุขในสมาธิ อะไรแบบนี้นี่สิ ตัวปัญหา คือมันดันไม่เห็น หรือมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส พอมองไม่เห็นว่าเป็นกิเลส ก็ไม่คิดจะจัดการ พอไม่คิดที่จะจัดการ มันก็ยังนั่งครองบัลลังก์อยู่ในหัวใจของเราไปอีกนานเท่านานเหมือนที่มันทำมาแล้วตลอดกาล

ส่วนคำที่สองนี่โดนใจสุด ๆ ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นสอนว่า ภิกษุ แปลว่า "คนต่อยกิเลส" คือฟังแล้วได้ใจมาก ให้มันได้อย่างนี้หน่อยสิคนเรา มีแต่โดนกิเลสเฆี่ยนตีอยู่ทั้งวี่ทั้งกันวันทั้่งโลก ไม่มีใครหันมาอัดกับมันสักตั้ง จะมีก็แต่บรมครูอย่างพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะสาวกเท่านั้นเองที่ทำไว้เป็นแบบอย่าง ขอผู้กล้าหน่อยเถอะโลกใบนี้ ประกาศศักดาความเป็นมนุษย์ ว่าเราก็เจ๋งเหมือนกัน ไม่ใช่จะมากดขี่ข่มเหงกันแบบไม่ปราณีปราศรัยแบบนี้ ถึงเวลาประกาศอิสระภาพให้ตัวเอง ประกาศให้โลกธาตุนี้รู้ว่าเราก็หนึ่งเหมือนกัน

ใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้กล้า ใครที่ไม่อยากเป็นผู้แพ้ไปตลอดชีวิต ใครที่ไม่อยากเป็นทาสกิเลสไปจนวันตาย ขอเชิญมาร่วมกับกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหน้าที่หลักอย่างเดียวคือ จัดการกิเลสในใจตัวเอง ต่อยกิเลสให้มันรู้ฝีมือและกำลังของเราซะบ้าง ถ้าฆ่าได้จัดการมันอย่าให้เหลือซาก ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

กองทัพของธรรมเป็นกองทัพอันทรงเกียรติ กองทัพนี้ไม่ต้องการเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ต้องการแค่ลูกผู้ชายตัวจริง เลือดนักสู้ มีความมุ่งมั่น อุตสาหะ ไม่ย่อท้อ มีความอดทนเป็นเลิศ ถ้ากิเลสไม่ตายเราก็ตาย ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ในเมื่อกิเลสมันไม่ธรรมดาครองหัวใจคนได้ทั้งโลก คนที่จะเป็นนักรบของกองทัพธรรมจะเอาพวกเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันเลิกไม่ได้ ถ้าจะทำแบบนั้นกลับบ้านไปกินนมนอนให้กิเลสมันเลี้ยงไว้เฆี่ยนเล่น ๆ ให้มันสนุกไปวัน ๆ ยังจะดีกว่าซะอีก

กองทัพนี้ไม่ได้ต้องการทหารเยอะ ๆ แบบเอาปริมาณ กองทัพนี้ต้องการนักสู้ผู้ทรงเกียรติ ทรงศักดิ์ศรี ถึงจำนวนทหารจะน้อย แต่เราสู้สุดชีวิต สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไว้ลายเลือดนักรบแห่งตถาคต ใครคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะลุยขอเชิญ อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งหละที่จะเข้าร่วมสงครามมหากาพย์ครั้งนี้ ตายเป็นตายแต่ขอไว้ลายเลือดนักสู้ไว้ให้โลกดูกันซักตั้ง ส่วนใครอยากจะเป็นทาสต่อไปก็เชิญตามสบายไม่ว่ากัน

No comments: